วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.โกลเบล็ก KLINIQ - ซื้อ
งวด 3Q67 กำไรสุทธิต่ำกว่าคาด จากค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น
ประเด็นสำคัญในการลงทุน
• งวด 3Q67 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 74 ลบ. ทรงตัวQoQ, +4%YoY ต่ำกว่าที่คาดราว 7% จากค่าใช้จ่ายขายที่สูงขึ้น: บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 750 ลบ. +7%QoQ, +27%YoY ใกล้เคียงคาด รายได้เติบโตจากของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) +2.8%YoY และรายได้จากสาขาใหม่ ในงวด 3Q67 มีการเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา คือแบรนด์ The KLINIQUE ที่จังหวัดอุบลราชธานี ทำให้ ณ สิ้นงวด 3Q67 มีสาขารวมทั้งหมด 69 สาขา มีอัตรากำไรขั้นต้น (%GPM) ที่ระดับ 51.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ จาก 50.5% ในงวด 2Q67 เนื่องจากสาขาที่เปิดไปมากจำนวน 10 สาขาในงวด 1Q67 ทยอยถึงจุดคุ้มทุน แต่ลดลง YoY จากระดับ 53.8% ใน 3Q66 จากการเติบโตของรายได้ THE KLINIQUE SURGERY CENTER และ L.A.B.X ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมี %GPM ต่ำกว่าแบรนด์ THE KLINIQUE มี %SG&A to Sales ระดับ 39.2% เพิ่มขึ้นจาก 39.0% และ 38.1% ในงวด 3Q66 และ 2Q67 ตามลำดับ สาเหตุหลักจากบริษัทมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการตลาด แต่รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 74 ลบ. ทรงตัวQoQ, +4%YoY ช่วง 9M67 มีรายได้จากการขาย 2,139 ลบ. +30%YoY กำไรสุทธิ 223 ลบ. +6%YoY
• ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 67 และปี 68 ลดลง 8% และ 6% ตามลำดับ: ปรับลดคาดการณ์รายได้ปี 67 และปี 68 ลง 4% และ 11% ตามลำดับ เป็น 2,939 ลบ. +29%YoY และ 3,439 ลบ. +17%YoY ตามลำดับเติบโตจากยอดขายสาขาเดิมที่มีจำนวน 55 สาขาในปี 66 และการเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขาในปี 67 แบ่งเป็นแบรนด์ THE KLINIQUE 10 สาขา และ L.A.B.X 10 สาขา ช่วง 9M67 เปิดสาขารวม 14 สาขา ประกอบกับการเติบโตของรายได้ศูนย์ศัลยกรรมที่มีความโดดเด่นเรื่องการทำหน้าอกและการทำจมูก และปี 68 บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 10 แห่ง มีสมมติฐาน %GPM ที่ระดับ 50.9% และ 51.5% ตามลำดับ
ปรับตัวลงจากปี 66 ที่ระดับ 54.0% จากสัดส่วนรายได้ของแบรนด์ L.A.B.X และ Surgery Center ที่เพิ่มขึ้นซึ่งมี Margin ต่ำกว่าแบรนด์ THE KLINIQUE สมมติฐาน %SG&A to Sales ที่ระดับ 38.4% และ 38.3% ตามลำดับ ส่งผลให้เราคาดกำไรสุทธิปี 67-68 เท่ากับ 301 ลบ. +4%YoY และ 363 ลบ. +21%YoY ตามลำดับ โดยกำไรในช่วง 9M67 คิดเป็นสัดส่วน 73% ของประมาณการใหม่ในปี 67
• คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับใช้ราคาเหมาะสมเป็นปี 68 ที่ 39.60 บาท: แม้เราปรับลดประมาณการกำไรปี 67 และ 68 แต่เรายังคงมีมุมมองบวกต่อผลการดำเนินงานในปี 68 ที่คาดจะกลับมาเติบโตจากอัตราการทำกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับรายได้ที่เติบโต และการควบคุมค่าใช้จ่าย เราประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Prospective PER โดยใช้ PE Ratio ระดับ -1SD ที่ 24x คาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 1.65 บาทต่อหุ้น ทำให้ได้ราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 39.60 บาท จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลง -22%YTD ทำให้ราคาเหมาะสมมี upside จากราคาปัจจุบันราว 21% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 4.5% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ปัจจัยเสี่ยง :
1. การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจเสริมความงาม
2. การพึ่งพิงบุคลากรทางการแพทย์
3. การพึ่งพิงธุรกิจในช่องทางห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก
4. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค