Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 2 December 2024

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 2 December 2024

ราคาน้ำมันดิบคาดปรับเพิ่มเล็กน้อยหลังคาดโอเปคชะลอแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงสถานการณ์ในยุโรปตะวันออกตึงเครียดต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลตลาดเรื่องการกีดกันภาษีของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าต่างๆ

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 65-75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 68-78 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 2 December 2024

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (2 - 6 ธ.ค. 67)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับเพิ่มเล็กน้อยหลังได้รับแรงหนุนจากการที่ตลาดคาดสมาชิกกลุ่มโอเปคพลัสชะลอแผนการปรับเพิ่มการผลิตออกไปต่อเนื่องเนื่องจากอุปสงค์น้ำมันโลกยังคงชะลอตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวส่งผลให้ตลาดคาดเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ราคายังได้รับแรงสนับสนุนจากสถานการณ์ในยุโรปตะวันออกระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงตึงเครียดต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ตลาดคลายความกังวลเรื่องสงครามในตะวันออกกลางเนื่องจากอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์สามารถบรรลุข้อตกลงยุติหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 60 วัน รวมถึงทิศทางของราคาพลังงานสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานปรับเพิ่มขึ้นและอาจกดดันความต้องการใช้น้ำมันสหรัฐฯ

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

•  ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปคและชาติพันธมิตรในวันที่ 5 ธ.ค. 67 เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการผลิตน้ำมันดิบในช่วงต้นปี 68 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของอาเซอร์ไบจานคาดกลุ่มโอเปคมีแนวโน้มชะลอแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่องจากกำหนดเดิมที่จะเริ่มขึ้นใน ม.ค. 68 เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัว นอกจากนี้ มีรายงานว่าสมาชิกกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปคพลัสอย่าง อิรัก ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย ได้มีการเจรจาหารือเบื้องต้นถึงแผนการเลื่อนการปรับเพิ่มปริมาณ

 

การผลิตออกไปในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

•  ตลาดได้รับแรงหนุนจากธนาคารกลางสหรัฐฯ เปิดเผยรายงานการประชุม (FOMC) เมื่อวันที่ 6-7 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ระบุว่า คณะกรรมการเฟดมีความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อมีทิศทางชะลอตัวลงสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% และตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้คาดว่าเฟดจะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ นักลงทุนได้ให้น้ำหนักกว่า 62.8% ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมในการประชุมเดือน ธ.ค. 67 อย่างไรก็ดี ยังคงต้องติดตามนโยบายการกีดกันทางการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ที่อาจส่งผลต่อทิศทางเงินเฟ้อสหรัฐฯ และส่งผลให้เฟดไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ตามที่คาดการณ์ก่อนหน้าได้

•  สถานการณ์ในยุโรปตะวันออกยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่องเนื่องจากสหรัฐฯ อนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลเข้าไปในรัสเซียเป็นครั้งแรก โดยล่าสุดกระทรวงกลาโหมของรัสเซียเผยว่ายูเครนได้มีการใช้ขีปนาวุธ ATACMS ที่ผลิตในสหรัฐฯ เข้ามาโจมตีรัสเซีย 2 ครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยมีเป้าหมายที่ฐานทัพทหารรัสเซียในภูมิภาค Kursk ของรัสเซีย ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีเมียร์ เซเลนกี เผยว่ารัสเซียได้มีการโจมตีทางอากาศ รวมถึงโจมตีคลังน้ำมันในแคว้นคาลูกาอีกด้วย

•  ด้านความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์มีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังจากสหรัฐฯ และฝรั่งเศสสามารถไกล่เกลี่ยกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลและนายกรัฐมนตรีรักษาการของเลบานอนให้สามารถบรรลุข้อตกลงยุติหยุดยิงชั่วคราวเป็นเวลา 60 วันซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 67 โดยอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์จะถอนกำลังจากตอนใต้ของเลบานอนและให้กองทัพเลบานอนกลับเข้าประจำการแทนที่ อีกทั้งได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการปฎิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ หลายฝ่าย

 

คาดการณ์ว่าการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวจะเป็นการปูทางไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาต่อไป 

•  ตลาดยังคงจับตาผลกระทบต่อตลาดเรื่องต้นทุนพลังงานหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ทั้งนี้ ตลาดคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบ โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ตลอดจนผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนน้ำมันเบนซินตลอดจนราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้นกดดันความต้องการใช้น้ำมัน

•  ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. 67 ได้แก่ อัตราการว่างงาน การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ อัตราการว่างาน เดือน ต.ค. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน พ.ย. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เดือน พ.ย. 67 และดัชนีจีดีพีไตรมาส 3/67 และเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต เดือน พ.ย. 67 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ เดือน พ.ย. 67
 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (25 – 29 พ.ย. 67) 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลง 3.24 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 68 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับลดลง 2.23 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 72.94 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 72.30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์มีความคืบหน้าและสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเผยรายงานผลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.-ต.ค. 67 ปรับลดลง 4.3% เทียบปีก่อนหน้ามาแตะระดับ 5.86 ล้านล้านหยวน สะท้อนสภาพเศรษฐกิจจีนที่ไม่ฟื้นตัวและวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลาย อย่างไรก็ดี ราคาได้รับแรงหนุนจากความไม่สงบของสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย และยูเครนที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปคพลัส โดยคาดว่ากลุ่มโอเปคพลัสมีมติเลื่อนแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบออกไปหลังความต้องการใช้น้ำมันยังคงอ่อนแอ นอกจากนี้ ประธานบริษัท Exxon Mobil คาดว่าผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในปีหน้า ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 22 พ.ย. 67 ปรับลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 428.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล