วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ มาตรการแก้หนี้เป็นบวก แต่ระยะสั้นอาจมีแรงทำกำไรกลุ่มสถาบันการเงิน
เงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาในระดับที่ตลาดคาด สหรัฐฯ รายงานเงินเฟ้อ พ.ย. ที่ +0.3% MoM, +2.7% YoY เป็นไปตามที่คาด และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเงินเฟ้อ ต.ค. ที่ +0.2% MoM, +2.6% YoY ตลาดยังไม่เปลี่ยนแปลงความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเฟด 18 ธ.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม โฟกัสสำคัญของตลาดจะเป็นมุมมองดอกเบี้ยของกรรมการเฟดรายบุคล (Dot plot) ในปี 2568 เนื่องจากแนวโน้มการลดลงของเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอตัวลง ทำให้ Dot plot อาจแสดงถึงการลดดอกเบี้ยที่ช้าลง ซึ่งอาจกระทบกับโมเมนตัม ของตลาดได้ // สำหรับปัจจัยที่ตลาดจับตาอีกเรื่อง อาจเป็นการปรับหุ้นเข้าสู่ดัชนี Nasdaq100 ซึ่งตลาดคาดว่า MicroStrategy และ Palantir มีโอกาสถูกนำเข้าคำนวณ
ครม.เห็นชอบมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนอาจเป็นลบต่อราคาหุ้นสถาบันการเงินในระยะสั้น แต่บวกกับหุ้นบริโภค: ที่ประชุม ครม. อนุมัติมาตรการแก้หนี้ลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่น โดยมีสองมาตรการหลัก 1) จ่ายตรงคงทรัพย์ หยุดชำระดอกเบี้ย 3 ปี, เงินที่จ่ายหักลดเงินต้นอย่างต่อเนื่อง, ครบ 3 ปี ได้รับการยกดอกเบี้ยที่พักไว้ ซึ่งมีการจำกัดวงเงินตามประเภทสินเชื่อ (บ้าน 5 ล้านบาท, รถยนต์ 8 แสนบาท, จักรยานยนต์ 5 หมื่นบาท, SME 5 ล้านบาท) 2) จ่ายปิดจบ (สำหรับหนี้ NPLs ที่ยอดไม่เกิน 5,000 บาท) โดยอาจจ่ายเพื่อปิดจบหนี้ หรือปรับโครงสร้างแบบผ่อนปรน โดยลดภาระให้ลูกหนี้จ่าย 10% ขณะที่รัฐรับภาระ 45% และสถาบันการเงิน 45% // แหล่งเงินหลักของทั้ง 2 มาตรการมาจากเงินจากส่วนลดนำส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู (FIDF) 39,000 ล้านบาท งบประมาณตาม ม.28 เพื่อชดเชยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จำนวน 38,920 ล้านบาท // มาตรการข้างต้นเป็นบวกระยะยาวต่อเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และมีส่วนในการกระตุ้นการบริโภค อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นอาจกระทบสถาบันการเงินจากรายได้ดอกเบี้ยอาจลดลงบ้าง และแรงขายทำกำไรหลังมาตรการประกาศ // กลุ่มเกี่ยวกับการบริโภค โดยเฉพาะค้าปลีก อาจได้แรงหนุนเชิงบวกจากสถานการณ์เงินของลูกหนี้ที่ดีขึ้น บวกต่อการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงต่อไป
ภาพรวมกลยุทธ์ “แกว่งตัวในกรอบ Sideway 1,440-1,460 จุด โดยเราประเมินว่า SET ที่ระดับ 1,440 จุด หรือต่ำกว่า เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการเข้าทยอยซื้อ โดย Theme play หลักที่เราให้น้ำหนักอยู่ในกลุ่ม Earnings momentum play ใน 4Q24-1Q25 โดยเรายังคงชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก โดยคาดธนาคาร และการเงิน จะเป็นกลุ่มช่วยประคองบรรยากาศรวม // หุ้นที่ได้แรงหนุนจากรายจ่ายภาครัฐ ได้แก่ SYNEX, SIS, SAMART, CSS, CK, STECON // ผู้ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีควรทยอยซื้อ RMF, SSF, Thai ESG
แนวรับ: 1,444-1,438 แนวต้าน : 1,458-1,465 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• CPAXT* (40): การเปลี่ยนจาก LPF เป็น AXTRART ทำให้ CPAXT จะสามารถขายสินทรัพย์บางส่วนเข้ากองเพิ่มได้ ส่งผลบวกต่อฐานะการเงิน ตัดขาดทุน 34.75 บาท
• CPALL* (68): ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งต่อเนื่องและมีอัพไซด์จากการดำเนินนโยบายภาครัฐ ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, การแจกเงิน 10,000 ในเฟสต่อๆไป ตัดขาดทุน 62 บาท
• SAMART* (8): ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุด และมีสัญญาณฟื้นตัวที่เด่นชัดในปี 2568 จากการฟื้นตัวของบริษัทลูกทั้งหมดทั้ง SDC, SAV, SAMTEL ตัดขาดทุน 6.80 บาท
• IND* (1.00): ผลประกอบการอยู่ในช่วงฟื้นตัว กลุ่ม INDEX และพาร์ทเนอร์ชนะประมูลควบคุมงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก 4,337 ล้านบาท ราคาซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชีที่ 1.26 บาท ตัดขาดทุน 0.78 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐฯ เผยดัชนี CPI +2.7% เดือนพ.ย. สอดคล้องคาดการณ์
- จับตารัฐสภาเกาหลีใต้โหวตถอดถอน "ยุน ซอกยอล" ครั้งที่ 2 เสาร์นี้บ่าย 3 โมง
- รัฐบาลญี่ปุ่นเดินหน้าแผนขึ้นภาษี เพิ่มรายได้หนุนงบกลาโหม
- โอเปคหั่นคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกปี 67/68 เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
- ราคาน้ำมัน WTI พุ่งจ่อทะลุ $70 หลังสต็อกน้ำมันลดลงมากกว่าคาด
- รมว.แรงงาน เผยบอร์ดไตรภาคีนัดประชุม 12 ธ.ค. หวังดันนโยบาย ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วันทั่วประเทศ ทัน 1 ม.ค.68
- 1H25 Strategy and Feeback from Malaysia Conference ภาพรวมเรามองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยใน 1H25 โดย Top Picks คือ AMATA, CPALL, MTC, KBANK และ TRUE
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
12 ธ.ค. – แถลงผลงานรัฐบาล