วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การแถลงนโยบายรัฐบาลยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนใหม่
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงหลังรายงานเงินเฟ้อผู้ผลิตสูงกว่าคาด ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงทุกตัว หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานดัชนีเงินเฟ้อผู้ผลิต (PPI) พ.ย. ปรับขึ้น 3.0% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.6% และสูงขึ้นจากตัวเลข ต.ค. ที่ 2.6%
ขณะที่เงินเฟ้อผู้ผลิตพื้นฐาน (Core PPI) ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พ.ย. เพิ่มขึ้น 3.4% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.2% และทรงตัวจาก ต.ค. ที่ 3.4% นอกจากนี้ ยังมีส่วนมาจากแรงขายทำกำไร และราคาหุ้น Adobe ที่ลดลง 13.69% หลังบริษัทเปิดเผยคาดการณ์รายได้ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด // ทั้งนี้ประเมินไม่มีผลต่อการปรับลดดอกเบี้ยเฟดในสัปดาห์หน้าในระดับ 0.25% ขณะที่ ECB มีมติปรับลดดอกเบี้ย 0.25% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4
ราคาน้ำมันจะเป็นประเด็นกดดันกำไรบจ.ไทยที่ต้องติดตาม: สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเตือนเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาดในปี 2568 โดยระบุว่า ตลาดจะมีอุปทานน้ำมันส่วนเกิน 950,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งเกือบเท่ากับ 1% ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก นอกจากนี้ IEA ระบุว่า อุปทานน้ำมันส่วนเกินจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน หากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส เริ่มปรับเพิ่มกำลังผลิตในเดือนเม.ย.68 นอกจากนี้ IEA ระบุว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะชะลอตัวต่อไปในปี 2568 ขณะที่อุปทานน้ำมันในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง// ราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง จะยังเป็นปัจจัยลบกดดันต่อหุ้นพลังงานที่มีน้ำหนักถึง 1/3 ของกำไรบจ.ทั้งหมด
การแถลงผลงานรัฐบาลไม่น่าตื่นเต้นเพราะไม่มีปัจจัยหนุนตลาดในระยะสั้น: นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือน ภายใต้หัวข้อ "2568 โอกาสไทย ทำได้จริง" โดยมีการสรุปผลงานที่ผ่านมาและแผนงานที่จะดำเนินการในปี 2568 // สำหรับผลงานโดยหลักอยู่ในมิติของการกระตุ้นเศรษฐกิจและการสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นหลัก // สำหรับแผนงานปี 2568 นโยบายหลังๆ ได้แก่ ล้างหนี้ครัวเรือน, บ้านเพื่อคนไทย, ทุนการศึกษา, รถไฟฟ้า 20 บาท, ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ฯลฯ โดยรวมไม่มีนโยบายใหม่ๆ
ขณะเดียวกันไม่มีนโยบายระยะสั้นที่จะเป็นปัจจัยผลักดัน (catalysts) ให้กับตลาดทุน ทำให้ภาพการลงทุนโดยรวมยังซบเซา อย่างไรก็ตามเรามองเม็ดเงินจากการลงทุนลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปี จะยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ downside ของหุ้นไทยจำกัด และการเลือกหุ้นยังเน้นกลุ่มที่มีแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่งเป็นหลัก
ภาพรวมกลยุทธ์ “การหลุด 1,440 ทำให้มีโอกาสลงทดสอบ 1,425 จุด ยังประเมินการลงรอบนี้ เป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับการเข้าทยอยซื้อ โดย Theme play หลักที่เราให้น้ำหนักอยู่ในกลุ่ม Earnings momentum play ใน 4Q67-1Q68 โดยเรายังคงชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก โดยคาดธนาคาร และการเงิน จะเป็นกลุ่มช่วยประคองบรรยากาศรวม // หุ้นที่ได้แรงหนุนจากรายจ่ายภาครัฐ ได้แก่ SYNEX, SIS, SAMART, CSS, CK, STECON // ผู้ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีควรทยอยซื้อ RMF, SSF, Thai ESG
แนวรับ: 1,425-1,431 แนวต้าน : 1,445-1,456 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• CPAXT* (40): การเปลี่ยนจาก LPF เป็น AXTRART ทำให้ CPAXT จะสามารถขายสินทรัพย์บางส่วนเข้ากองเพิ่มได้ ส่งผลบวกต่อฐานะการเงิน ตัดขาดทุน 34.75 บาท
• CPALL* (68): ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งต่อเนื่องและมีอัพไซด์จากการดำเนินนโยบายภาครัฐ ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, การแจกเงิน 10,000 ในเฟสต่อๆไป ตัดขาดทุน 62 บาท
• SHR* (2.80): ผลการดำเนินงานปี 2568 มีโอกาสเติบโตขึ้นจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 5-10% โดยเฉพาะโรงแรมในไทยและมอริเชียสที่ (ระดับ 20%) ตัดขาดทุน 2.30 บาท
• IND* (1.00): ผลประกอบการอยู่ในช่วงฟื้นตัว กลุ่ม INDEX และพาร์ทเนอร์ชนะประมูลควบคุมงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก 4,337 ล้านบาท ราคาซื้อขายต่ำมูลค่าทางบัญชีที่ 1.26 บาท ตัดขาดทุน 0.78 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาด
- นักลงทุนยังคงเทน้ำหนักเกือบ 100% คาดเฟดหั่นดบ.สัปดาห์หน้า แม้ PPI สูงกว่าคาด
- ECB มีมติหั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด
- S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ BBB+ คงมุมมองมีเสถียรภาพ
- บอร์ดไตรภาคี ยังไม่ตัดสิน ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ นัดประชุม 23 ธ.ค.67 อาจปรับขึ้นรายจังหวัด
- TFG แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 6.00 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
16 ธ.ค. – CN Industrial Production, Retail Sales
17 ธ.ค. – US Retail Sales