MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 9-13 ธันวาคม 2567
เงินบาทกลับมาอ่อนค่า ขณะที่หุ้นไทยร่วงลง ท่ามกลางแรงขายของต่างชาติ
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
• เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือนที่ 33.66 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะพลิกอ่อนค่ากลับมาช่วงปลายสัปดาห์ตามทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินเอเชีย
เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุน เนื่องจากตลาดประเมินโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุม FOMC เดือนธ.ค.นี้
อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงตามทิศทางเงินหยวนและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคท่ามกลางการคาดการณ์ของตลาดว่า ทางการจีนอาจทยอยปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงในปี 2568 เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดจากมาตรการภาษีการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติมจากการร่วงลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้น โดยมีแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB และตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย. ที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด
• ในวันศุกร์ที่ 13 ธ.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.13 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (6 ธ.ค. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 9-13 ธ.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 5,907 ล้านบาท และ 6,246 ล้านบาท ตามลำดับ
• สัปดาห์ระหว่างวันที่ 16-20 ธ.ค. ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.60-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. (18 ธ.ค.) ผลการประชุม FOMC (17-18 ธ.ค.) และ Dot Plot ของเฟด ผลการประชุม BOJ (18-19 ธ.ค.) ผลการประชุม BOE (19 ธ.ค.) การประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน รวมถึงสัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางเงินหยวนและราคาทองคำในตลาดโลก
• ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการ (เบื้องต้น) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนพ.ย. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 (final) และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการ (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. และอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. ของอังกฤษและยูโรโซน รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
• ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตลอดสัปดาห์ตามแรงขายของต่างชาติ
ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ตามแรงขายทำกำไรของนักลงทุน เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาดประกอบกับมีวันหยุดในช่วงระหว่างสัปดาห์ อย่างไรก็ดี แม้จะมีประเด็นเกี่ยวกับนโยบายของภาครัฐที่จะผลักดันในปีหน้า แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะประคองให้ตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นได้ ทั้งนี้หุ้นกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นร่วงลงมากในสัปดาห์นี้ เนื่องจากเผชิญแรงขายทำกำไร ประกอบกับมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ไทยอาจรับผลกระทบจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่องในช่วงท้ายสัปดาห์สอดคล้องกับตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางแรงขายเพื่อลดสถานะการลงทุนที่มีความเสี่ยงระหว่างรอติดตามทิศทางนโยบายการเงินของทั้งไทยและต่างประเทศจากการประชุมเฟดและกนง.ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์หน้า
• ในวันศุกร์ที่ 13 ธ.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,431.67 จุด ลดลง 1.40% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 38,475.83 ล้านบาท ลดลง 6.00% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.32% มาปิดที่ระดับ 317.37 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (16-20 ธ.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,420 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,445 และ 1,460 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด (17-18 ธ.ค.) การประชุมกนง. (18 ธ.ค.) รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนี PCE/Core PCE Price Index เดือนพ.ย. จีดีพีไตรมาส 3/2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ และ BOE ดัชนี PMI (เบื้องต้น) เดือนธ.ค. ของญี่ปุ่น ยูโรโซนและอังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของญี่ปุ่นและยูโรโซน การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนธ.ค. และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร