วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ Bond Yield คงระดับสูง กดดันสินทรัพย์เสี่ยง
SET Index อ่อนแรง เน้นเลือกลงทุนรายตัวเป็นหลัก ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงต่อเนื่อง ยังคงถูกกดดันจากหุ้นขนาดใหญ่ หลัง Dot Plot หลังการประชุม Fed บ่งชี้ว่า Fed อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 68 เพียงแค่ 2 ครั้ง จากเดิมที่ตลาดคาดการณ์ราว 3 ครั้ง
ส่งให้ผลค่าเงินบาทอ่อนค่า ฉุด Fund Flow นักลงทุนต่างชาติไหลออก สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เราประเมินตลาดหุ้นไทยจะพักฐานอีกสักระยะ เพื่อรอสะสมฐานใหม่ ในระยะสั้นจึงแนะนำเลือกลงทุนเป็นรายตัวเป็นหลัก เรามองกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับมาน่าสนใจอีกครั้ง อาทิ 1) กลุ่มท่องเที่ยว หุ้นที่น่าสนใจ เช่น MINT, VRANDA และ SPA เป็นต้น และ 2) กลุ่มส่งออก หุ้นที่น่าสนใจ เช่น COCOCO และ ITC เป็นต้น อีกหนึ่งกลุ่มที่สามารถทยอยสะสมได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยพักฐาน คือกลุ่มอิงการใช้จ่ายในประเทศ จากโอกาสการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศในปี 68 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิ Easy E-Receipt ที่คาดจะเห็นความคืบหน้าในสัปดาห์หน้า
กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย แต่ส่งสัญญาณถึงความเสี่ยงที่ GDP ปี 68 อาจโตต่ำกว่า 2.9%: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ทั้งนี้โมเมนตัมเศรษฐกิจระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ยังมีการขยายตัวแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น (เศรษฐกิจโลก, การกีดกันการค้า, ฯลฯ) ทำให้ GDP ปี 2568 อาจเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 2.9% ได้ ดังนั้นการคงดอกเบี้ยคือการที่ กนง.ให้น้ำหนักกับการรักษาเครื่องมือเพื่อดำเนินนโยบายการเงินในช่วงเวลาที่จำเป็น (Policy space)
ภาพรวมกลยุทธ์ การลดดอกเบี้ยเฟดที่น้อยกว่าคาดรวมถึงปัจจัยในประเทศ อย่างการลดบัญชีมาร์จิ้นของ บล.ในประเทศแห่งหนึ่ง คาดสร้างแรงกดดันระยะสั้นต่อ SET อย่างไรก็ตามยังให้น้ำหนัก ตลาดมีโอกาสเกิดการฟื้นตัวจากโซน 1,365-1,390 จุด โดยยังมองกลุ่ม Earnings momentum play ใน 4Q67-1Q68 โดยเรายังคงชอบ หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก โดยคาดธนาคาร และการเงิน จะเป็นกลุ่มช่วยประคองบรรยากาศรวม // ผู้ต้องการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีควรทยอยซื้อ RMF, SSF, Thai ESG
แนวรับ: 1,365 แนวต้าน : 1,405-1,420 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• TTB* (1.90): การลดดอกเบี้ยที่ช้าส่งลดแรงกดดันของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและ NIM ขณะที่คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 4 แข็งแกร่งจากตั้งสำรองที่น่าจะทรงตัวถึงลดลง ตัดขาดทุน 1.78 บาท
• SPA (9.50) : คาดกำไรปกติ 4Q68F เติบโตทั้ง qoq และ yoy จากการเข้าสู่ high season และการเปิดสาขาใหม่ ตัดขาดทุน 6.80 บาท
• TLI (12.5) : ผลตอบแทนพันธบัตรที่ทรงตัวในระดับสูง เป็นบวกต่อผลตอบแทนการลงทุนของบริษัท ตัดขาดทุน 10.60 บาท
• SHR* (2.80): ผลการดำเนินงานปี 2568 มีโอกาสเติบโตขึ้นจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 5-10% โดยเฉพาะโรงแรมในไทยและมอริเชียสที่ (ระดับ 20%) ตัดขาดทุน 2.30 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐเผย GDP +3.1% ใน Q3/67
- สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด
- BoE ประกาศคงดอกเบี้ยที่ 4.75% สอดคล้องคาดการณ์
- BOJ คงดอกเบี้ยตามคาด เหตุวิตกเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่แน่นอนภายใต้รัฐบาลทรัมป์
- ผู้ว่า BOJ ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ย หากเศรษฐกิจ-เงินเฟ้อเป็นไปตามคาด
- "ทรัมป์" คัดค้านร่างกม.งบประมาณชั่วคราว ขณะสหรัฐฯใกล้ถึงเส้นตายชัตดาวน์
- "ซิโนเปค" คาดอุปสงค์น้ำมันเบนซินของจีนจะลดลงอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 68
- ทริสฯ มองการซื้อกิจการ "The Happitat" กดดันสถานะทางการเงิน CPAXT-ระดับสำรองอันดับเครดิตลดลง
- คลังชง ครม.ไฟเขียว Easy e-Receipt สัปดาห์หน้า ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท
- ตลท.รับหุ้น NKT เริ่มเทรดวันแรก 20 ธ.ค. ราคาไอพีโอ 7.80 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
23 ธ..ค. – TH Exports