วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ LH แผนธุรกิจปี 2568 มีแนวโน้มชะลอ

ประเมินกำไร 4Q67F ที่ 1.94 พันล้านบาท (+200% QoQ แต่ -44% YoY) หลัก ๆ มาจากกำไรที่คาดว่าจะได้จากการขาย Terminal 21 ที่พัทยาประมาณ 1 พันล้านบาท หากคิดเฉพาะกำไรปกติคาดว่าจะลดลงทั้ง YoY และQoQ ตามพรีเซลที่ชะลอตัว
ดังนั้น เราจึงคาดกำไรปี 2567F ลดลง 35% อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาทตามรายได้ที่ลดลง 5% พร้อมกับอัตรากำไรขั้นต้นต่ำลงที่ 26% (จาก 30% ในปี 2566) และอัตรากำไรสุทธิลดลงอยู่ที่ 17% (จาก 23% ในปี 2566) ขณะที่ พรีเซลปี 2567 ลดลง 18.5% YoY อยู่ที่ 1.88หมื่นล้านบาท (โครงการแนวราบ: -9% และโครงการคอนโดมิเนียม: -45%) (Figure 1)
แผนธุรกิจปี 2568
แผนธุรกิจปี 2568 ประกอบด้วยโครงการบ้านแพง 4 โครงการมูลค่ารวม 1.12 หมื่นล้านบาท (-64%YoY) เป้าพรีเซลที่ 2.3 หมื่นล้านบาท (+23% YoY) เป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท (+28%YoY) และรายได้ค่าเช่าและบริการที่ 9.24 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY) อีกทั้ง LH วางแผนขายอพาร์ทเมนต์ 3 แห่งในสหรัฐอเมริกา มูลค่าการลงทุนรวม 381 ล้านดอลลาร์ (1.2 หมื่นล้านบาท) ภายใน 1H68 ทางด้านงบลงทุน (CAPEX) ปี 2568 จะอยู่ที่ 8.5 พันล้านบาท (-25% YoY) (Figure 3)
เน้นการระบายสต็อกบ้านคงค้าง ลดอัตราหนี้สินต่อทุน และขยายธุรกิจโรงแรม
LH จะมุ่งเน้นการขายโครงการปัจจุบันที่มี่อยู่มีมูลค่ารวม 8.2 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้ตัวแทนขายเพิ่มขึ้นและพิจารณาการขายแบบล๊อตใหญ่ (big lot) เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งอาจจะส่งผลให้ได้ margin ต่ำลง ส่วนเงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์จะใช้ชำระหนี้คืนและลดอัตราหนี้สินต่อทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงขยายพอร์ตโรงแรมเพิ่ม โดยที่ปัจจุบัน LH มีโรงแรม 3 แห่งมูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาทในประเทศไทย (GCP ลุมพินี, GCP ราชดำริ, GCP พัทยา 3) อยู่ระหว่างการพัฒนา ทั้งนี้กลุ่ม LH เป็นเจ้าของและรับบริหารอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนทั้งหมด 11 แห่งมูลค่ารวม 3.2 หมื่นล้านบาทในประเทศไทย และอีก 5 แห่งมูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาทในสหรัฐอเมริกา
Valuation & Action
เราประมาณการพรีเซลปี 2568F อย่างระมัดระวังอยู่ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท (+7% YoY) และยอดโอนกรรมสิทธิ์อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท (+5% YoY) ซึ่งต่ำกว่า guidance ของ LH พอควร ขณะที่ เรายังคงประมาณการกำไรจากการขายสินทรัพย์อยู่ที่ 1 พันล้านบาทต่อปีในปี 2567-68 และประเมินราคาเป้าหมาย SOTP ของเราใหม่ที่ 4.9 บาท (จากธุรกิจหลัก 0.6 บาท และพอร์ตการลงทุนที่ 4.30 บาท) ลดจากเดิมที่ 5.30 บาท เป็นนัยว่า discounted PE ปี 2568F ที่ -1 S.D. โดยที่คาดเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) ปี 2567F รวมอยู่ที่ 0.325 บาท อิงจากอัตราการจ่ายเงินปันผล (dividend payout) ที่ 80% ทั้งนี้ เรายังคงคำแนะนำถือ เนื่องจาก dividend yield รายปีที่น่าสนใจสูงกว่า 6%
Risks
ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ โอกาสมีนโยบายกระตุ้นจากภาครัฐ การให้สินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้นท่ามกลางภาวะหนี้สินภาคครัวเรือนสูงยืดเยื้อรวมทั้ง การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ