MONEY AND STOCK MARKET REVIEW วันที่ 10-14 กุมภาพันธ์ 2568

เงินบาทพลิกแข็งค่าตามทิศทางทองคำโลก แต่ดัชนีหุ้นไทยยังปรับตัวลงต่อเป็นสัปดาห์ที่ 3
สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
• เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดรอบ 3 สัปดาห์ที่ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนพลิกแข็งค่ากลับมาตามราคาทองคำโลกที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เงินบาทอ่อนค่าลงตามทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ มีแรงหนุนจากข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของประธานเฟดซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่าจังหวะการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังแข็งค่าขึ้นตามสัญญาณสะท้อนความตึงเครียดของสงครามการค้า หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า จะมีการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ และจะมีการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Rciprocal Tariffs) กับประเทศที่มีการค้าไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ระดับ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะพลิกแข็งค่ากลับมาตามราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนเนื่องจากตลาดประเมินว่ามาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ อาจจะยังไม่เริ่มในเร็วๆ นี้
• ในวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.63 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (7 ก.พ.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 10-14 ก.พ. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1, 106.5 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,654.8 ล้านบาท (แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 135.7 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 1,519.1 ล้านบาท)
• สัปดาห์ระหว่างวันที่ 17- 21 ก.พ. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 33.00- 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของไทย สัญญาณเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดและสถานการณ์เงินทุนต่างชาติ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนก.พ. ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค. รวมถึงตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และบันทึกการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 28-29 ม.ค. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามการประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน ผลการประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย และธนาคารกลางอินโดนีเซีย ดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนก.พ. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษด้วยเช่นกัน
สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย
• ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนก่อนจะปิดลบช่วงท้ายสัปดาห์
ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นการเรียกเก็บภาษีข้างต้นหลังประเมินว่าไทยน่าจะได้รับผลกระทบในกรอบจำกัด ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากประเด็นข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดจะปรับปรุงเงื่อนไขกองทุน LTF เพื่อพยุงตลาดหุ้นไทย รวมถึงแรงซ้อหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีหุ้นไทยพลิกร่วงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะหุ้นผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ประกอบกับบรรยากาศยังคงถูกดดันจากความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าโดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ เตรียมเดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) จากทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
• ในวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,272.10 จุด ลดลง 0.78% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซ้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,399.60 ล้านบาท ลดลง 4.98% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.72% มาปิดที่ระดับ 260.54 จุด
• สัปดาห์ถัดไป (17-21 ก.พ. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,250 และ 1,235 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,310 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง เดือนม.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.พ. (เบื้องต้น) บันทึกการประชุมเฟด รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของญี่ปุ่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนก.พ. ของจีน ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค. ของญี่ปุ่น ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.พ. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ