วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Energy Sector พุ่งเป้าไปที่ OPEC+ ว่าจะเริ่มเพิ่มอุปทานในเดือนเมษายนหรือไม่?

ตลาดน้ำมันดิบ ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแผนการผลิตของ OPEC+ ในเดือนเมษายน
OPEC+ มีแผนจะทยอยถอนการลดการผลิตโดยสมัครใจ 2.2 MBD จากเดือนเมษายน 2568 ถึงเดือนกันยายน 2569 ในขณะเดียวทางกลุ่มยังอนุญาตให้ UAE เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มเติมอีก 300 KBD ในช่วงเวลาเดียวกันด้วย หมายความว่าจะมีอุปทานเพิ่มเข้ามาเดือนละประมาณ 138 KBD ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นต้นไป หรือเทียบเท่ากับอุปทานจาก OPEC+ จะเพิ่มขึ้น 0.5 MBD YoY ในปี 2568F แต่อย่างไรก็ตาม OPEC+ กำลังพิจารณาว่าจะเดินหน้าตามแผนเพิ่มการผลิตในเดือนเมษายนหรือไม่ท่ามกลางภาวะที่อุปทานยังมีความไม่แน่อนอนจากกรณีที่สหรัฐคว่ำบาตรรัสเซีย (10 มกราคม) และอิหร่าน (6 กุมภาพันธ์), แผนของประธานาธิบดี Trump ที่จะถอนใบอนุญาตที่เวเนซุเอลาของ Chevron (ส่งออก 240 KBD) และการที่สหรัฐและรัสเซียกลับมาสานสัมพันธ์กันอีกคงอย่างเหนือความคาดหมาย ในขณะที่ตลาดคาดว่าอุปทานของกลุ่ม non-OPEC+ ในปี 2568F จะเมขึ้น 1.4 MBD นำโดยอุปทานจากสหรัฐ, แคนาดา, กายอานา และบราซิล (Figure 2) ส่วนทางด้านอุปงค์ คาดว่าการใช้น้ำมันดิบทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.2 MBD ในปี 2568F ต่ำกว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้น 1.9 MBD จากทั้งกลุ่ม OPEC+ และ non-OPEC+อย่างมาก โดยยังไม่รวมอุปทานที่อาจจะสะดุดจากการที่สหรัฐคว่ำบาตรรัสเซียและอิหร่านรอบล่าสุด ซึ่งขึ้นอยู่กับการตอบสนองของจีน จากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เรายังคงใช้สมมติฐานว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2568F/2569F อยู่ในขาลงที่ US$75/70/bbl จาก US$8/bbl ในปี 2567 สอดคล้องกับประมาณการปี 2568F ของ Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* ที่ US$70–8/bbl และของ PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC TB)* ที่ US$73–78/bbl
ตลาดโรงกลั่น: คาดว่าค่าการกลั่นจะดีในปี 2568F
เราคาดว่า margin ของตลาดโรงกลั่นจะดีในปี 2568F เพราะมีหลายปัจจัยสนับสนุน ปัจจัยแรกคือจีนลดอัตราการคืนภาษี (tax rebate) การส่งออกน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลจาก 13% เหลือ 9% โดย
มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ซึ่งน่าจะทำให้จีนส่งออกผลิตภัณฑ์จากการกลั่นลดลง นอกจากนี้ สภาพอากาศที่หนาวกว่าปกติในซีกโลกตะวันตกช่วงต้นปีนี้น่าจะทำให้น้ำมันสำเร็จรูปในสต็อกลดลงจากการนำออกมาใช้ ซึ่งจะทำให้อุปทานตึงตัวมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ TOP คาดว่าะมีกำลังการกลั่นสุทธิเพิ่มเข้ามา 0.6 MBD ในปี 2568F ในขณะที่ PTTGC คาด่วาจะมีกำลังการกลั่นสุทธิลดลง 0.1 MBD เพราะมีการปิดโรงกลั่นเก่าและมีการเลื่อนเปิดโครงการใหม่ๆ ซึ่งได้แก่ i) โรงกลั่น Olmeca กำลังการผลิต 340 KBD ในเม็กซิโก (จาก 2Q67 ถึง 2Q69F) และ ii) โรงกลั่น Rajasthan กำลังการผลิต 181 KBD ในอินเดีย (จาก 2Q68F ถึง 4Q68F) เราคิดว่ากำลังการกลั่นที่เพิ่มขึ้นจำกัดจะน้อยกว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่คาดว่าจะโต 1.2 MBD ในปี 2568F ซึ่งจะช่วยหนุนค่าการกลั่ ดังนั้นเราจึงคงสมมติฐาน spread น้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลปี 2568F เอาไว้ที่ US$17/bbl สอดคล้องกับประมาณการของ TOP ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับสิบปลายๆ (US$17–19/bbl) แต่อย่างรก็ตาม เรายังคงสมมติฐาน spread น้ำมันเบนซินปีนี้เอาไว้เท่าเดิมที่ US$11/bbl สอดคล้องกับประมาณการของ TOP ที่คาดว่าจะอยู่ที่สิบต้นๆ (US$11–13/bbl)
ตลาดปิโตรเคมี: ตลาดเผชิญความท้าทายจากอุปทานใหม่ก้อนใหญ่
ตลาด polyethylene (PE) เผชิญแนวโน้มที่ยากลำบากเพราะอุปสงค์โตอย่างสม่ำเสมอ แต่อาจจะยังไม่ทันกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะจากจีน เราคาดว่าอุปทาน PE จะเพิ่มขึ้น 3.3 MTA ในปี 2567, 5.9 MTA ในปี 2568F และ 5.5 MTA ในปี 2569F สูงกว่าอุปสงค์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นปีละ 3.4–4.1 ล้านตันในช่วงเดียวกัน และในทำนองเดียวกัน ตลาด polypropylene (PP) และ polyethylene terephthalate (PET) ก็ถูกกดดันจากอุปทานที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเราคาดว่าอุปทานในตลาด PP จะเพิ่มขึ้น 5.3 MTA ในปี 2567, 5.5 MTA ในปี 2568F และ 6.9 MTA ในปี 2569F
ในขณะที่คาดว่าอุปสงค์จะเพิ่มขึ้นน้อยกว่าโดยเพิ่มขึ้นเพียง 2.5–3.2 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ตลาด PET ยังเผชิญความท้าทายเพิ่มขึ้นจากอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้น 4.9 MTA ในปี 2567 และ 2.9 MTA ในปี 2568F ซึ่งทำให้ความไม่สมดุลในตลาดถ่างกว้างยิ่งขึ้น