วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Contractor Sector ผลประกอบการ 4Q67: ขาดทุนสูงกว่าคาด

ผลขาดทุนสุทธิ 4Q67 ของ CK ที่ 171 ล้านบาทฉุดให้กำไรทั้งปี 2567 ย่อลงที่ 1.45 พันล้านบาท CH Karnchang (CK.BK/CK TB)** ขาดทุนที่ 171 ล้านบาทใน 4Q67 ซึ่งมากกว่าเราคาดไว้ที่ 32 ล้านบาท
แม้ว่ารายได้จากการรับเหมา ฯ ที่ 9.4 พันล้านบาทจะใกล้เคียงคาด แต่ต้นทุนทางการเงินก็ที่สูงถึง 671 ล้านบาท (+14% QoQ และ +40% YoY) โดยที่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือลดลงอยู่ที่ 300 ล้านบาท (-36% YoYและ -72% QoQ) และยังมีขาดทุนอื่นๆ อีก 114 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิพลิกกลับเป็นขาดทุน ส่วนในปี 2567 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 3% อยู่ที่ 3.78 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 7.3% แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้สูงขึ้นเกือบ 6% ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น (+10% YoY) รายได้อื่นลดลง (-12% YoY) ส่งผลให้ผลกำไรทั้งปี 2567 อ่อนตัวลง
STECON ขาดทุนใน 4Q67 และปี 2567 สูงสุดเป็นประวัติการณ์
STECON Group (STECON.BK/STECON TB) รายงานผลขาดทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.25 พันล้านบาท จากค่าเผื่อขาดทุนในโครงการเชื้อเพลิงสะอาดของบริษัท Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)* มูลค่าราว 1 พันล้านบาท ปรับลดมูลค่าของอาคารชุดเพื่อขาย 170 ล้านบาท ตั้งค่าเผื่อขาดทุนของการซ่อมโครงการบึงหนองบอนราว 480ล้านบาท รวมทั้งส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง 584 ล้านบาท ดังนั้นกำไรสุทธิทั้งปี 2567 จึงพลิกกลับเป็นขาดทุนที่ 2.34 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม เราสังเกตว่าหลังจากการตั้งสำรองต่างเพื่อชำระงบดุลแล้ว มูลค่าทางบัญชี (book value) ของ STECON ยังคงแข็งแกร่งที่ 11.7 บาท/หุ้น (PB ที่ 0.4x ณ ราคาหุ้นปัจจุบัน) ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ (net gearing) จะต่ำลงที่ 0.37x
แนวโน้มระยะสั้นใน 1Q68F
STECON จะบันทึกรายได้เงินปันผลระหว่างกาลที่ 220 ล้านบาทจากการถือหุ้นของ STECON ในบริษัท
Gulf Energy (GULF.BK/GULF TB)* ซึ่งจะช่วยดันให้กลับมามีกำไรใน 1Q68F อีกทั้งจะได้รับ final
dividend จาก GULF ใน 2Q68 อีกด้วย ส่วนธุรกิจของ CK ใน 1Q68F น่าจะยังอยู่ในช่วง low season
เพราะไม่มีเงินปันผลรับ แต่โดยปกติ CK จะได้รับเงินปันผลจากบริษัทในเครือเข้ามาใน 2Q และ 3Q ขณะที่ทั้งสองบริษัทดังกล่าวกำลังมุ่งปรับโครงสร้างการลงทุนต่าง ๆ เพื่อลดผลกระะทบจากการที่ต้องรับรู้กำไร/ขาดทุนจากบริษัทฯร่วมในงบกำไรขาดทุน โดยที่ CK กำลังดำเนินการปรับโครงสร้างการถือหุ้นบริษัทร่วมที่ยังขาดทุน อย่างโครงการพลังน้ำเขื่อนหลวงพระบาง ให้เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกัน (related companies) โดยการขายหุ้น 10% ให้กับบ.ในครือคือ TTW (TTW.BK/TTW TB).ซึ่ง CK ถือหุ้นอยู่ 19% ส่วน STECON กำลังศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนบริษัทร่วม อย่างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง ให้เป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน เช่นกัน
Valuation & Action
หลังจากเประกาศผลประกอบการ 4Q67 ออกมาอ่อนแอมาก เราจึงอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการและ/หรือคำแนะนำใหม่ทั้ง STECON และ CK ซึ่งจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมหลังการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 5 และ 6 มีนาคม เมื่อพิจารณาระหว่างสองบริษัทดังกล่าวข้างต้นในกลุ่มนี้ เรามองว่าแนวโน้มกำไรของ CK ดูจะแข็งแกร่งกว่าเพราะมีปริมาณ backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์ราว 2 แสนล้านบาท โดยที่ยังคงรอลงนามในโครงการทางด่วนยกระดับมูลค่า 3.5 หมื่นล้านบาท CK ประกาศจ่าย DPS 2H67 ที่ 0.15 บาท/หุ้น (XD: 12 มี.ค. 68) คิดเป็น dividend yield ราว 1.1% จากราคาปิดล่าสุด ปันผลทั้งปีอยู่ที่ 0.30 บาท (yield 2.1%) ส่วนSTECON นอกจากเงินปันผลรับแล้ว ยังมีปัจจัยหลายประการที่อาจได้เห็นการฟื้นตัว เช่น การเรียกร้องค่าสินไหมจากบริษัทประกันจำนวนหลายร้อยล้านบาทของโครงการบึงหนองบอน การปรับโครงสร้างการลงทุนในรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง และรออนุมัติสรุปสุดท้ายในการพัฒนาเมืองการบินอู่ตะเภากับบริษัทร่วมทุน (JV), บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA)
Risks
ความรวดเร็วในอัตราการเติบโตของ GDP ความล่าช้าจากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีและการเริ่มดำเนินการโครงการใหม่ ๆ, การปรับเปลี่ยนฎระเบียบต่าง ๆ, การแก้ไขสัญญาต่าง ๆ, การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำขึ้น