วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ NEO ตั้งเป้ายอดขายเติบโตแข็งแกร่ง

บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตเป็นเลขสองหลัก YoY ในปี 2568 หนุนจาก i) แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มากกว่า 50 SKU (กลุ่มสินค้าปกติและกลุ่มพรีเมียมแมส) และการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งช่วยดันยอดขายในประเทศขึ้น
ii) ยอดขายส่งออกเติบโต 20% จากการแก้ปัญหาด้านผู้จัดจำหน่ายและการขยายช่องทางการขาย ในแง่ GPM คาดว่าจะลดลง YoY อยู่ราว 41-43% (เทียบกับสมมติฐานของเราที่ 43.3%) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและค่าเสื่อมราคาสูงราว 80-90 ล้านบาทต่อปี แต่อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าจะสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ได้ดี โดยพยายามคงระดับอัตรากำไรสุทธิ (NPM) อยู่ราว 8-10% ในปี 2568F
คาดมีแรงกดดันบางอย่างต่อ GPM และปรับลดกำไรลง
เรายังคงยืนยันมุมมองของเราบนสมมติฐานยอดขายปี 2568 จะเติบโตราว 7-8% ตามสภาวะเศรษฐกิจใน
ปัจจุบัน ทำให้ผู้ค้าสมัยใหม่อาจจำเป็นต้องเปิดตัวแคมเปญส่งเสริมการขาย ซึ่งอาจกดดันอัตรากำไรขั้นต้นของ NEO บ้าง ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการกำไรลง 7% ในช่วงปี 2568F-2569F เพราะ GPM ถูกปรับลดลงเหลือ 42.5%/42.7% (จาก 43.3%/43.5%) โดยที่ เราคาดกำไรปี 2568F ที่ 928 ล้านบาท (-8%YoY) และเติบโตต่ออยู่ที่ 1.0 พันล้านบาท (+11% YoY) ในปี 2569F หลัก ๆ เกิดจากรายได้สูงขึ้น ในด้าน upside ของกำไรจะมาจาก i) รายได้จากการขายในตลาดส่งออกดีขึ้นและ/หรือมีสัดส่วนกลุ่มสินค้าพรีเมียมแมสมากขึ้นและ ii) ราคาน้ำมันปาล์มดิบใน 2H68F อาจต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ความอ่อนไหว (sensitivity analysis) ของเราพบว่ารายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ 1% จะทำให้กำไรสุทธิเปลี่ยนแปลง 1% และ GPM ที่เปลี่ยนแปลงทุก ๆ 1% จะส่งผลต่อกำไรของ NEO ในทิศทางเดียวกันราว 9%
คาดว่าใน 1Q68F จะเป็นจุดต่ำสุดของปี
บริษัทให้ guidance ว่ารายได้ใน 1QTD68 ดีขึ้น YoY ด้วยปัจจัยหนุนหลักจากยอดขายส่งออกฟื้นตัว
แข็งแกร่งโดยเฉพาะที่เวียดนาม (+40% YoY) อิงจากราคาน้ำมันปาล์มใน 4Q67 เป็นจุดพีค (Figure 1) ซึ่ง
น่าจะสร้างแรงกดดันต่อ GPM ของ NEO ใน 1Q68F และคาดว่า GPM จะแตะจุดต่ำสุดในปีนี้ ในเบื้องต้น
เราคาดว่า GPM ใน 1Q68F จะต่ำอยู่ราว 40-41% (เทียบกับ 45.9% ใน 1Q67 และ 42.8% ใน 4Q67) และ
น่าจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2Q68F เป็นต้นไป
Valuation & action
ตามประมาณการกำไรใหม่ของเรา คงค่า PE ไว้ที่ 12x แต่เราปรับลดราคาเป้าหมายปี 2568 ลงใหม่ที่ 37.0
บาท (จากเดิม 40.0 บาท) อย่างไรก็ดี เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” NEO เนื่องจากตำแหน่งแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการหมุนเวียนเร็ว (fast-moving consumer goods: FMCG) ความสามารถในการขยายตลาดต่างประเทศ และเรามองว่าราคาหุ้นที่ลดลงได้สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มกำไรไปแล้ว
Risks
ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การแข่งขันสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงความชอบของลูกค้า