วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ HMPRO เอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย

บริษัทเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยในปัจจุบันทำให้กำลังซื้ออ่อนแอ โดยมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลยังมีความจำเป็น
ในขณะที่บริษัทใช้กลยุทธ์การปรับตัวเพื่อฟื้น same-stores-sales ที่หดตัวลงในระดับเลขตัวเดียวกลาง ๆ ในช่วง 2M68 ให้เป็นไปตามเป้าปีนี้ที่ 2-3% โดยกลยุทธ์ที่ใช้ได้แก่ i) การขยายสาขาร้านโดยใช้โมเดล Hybrid (ผสมผสานรูปแบบ Homepro และ Mega Home เข้าด้วยกัน) ซึ่งจะทำให้สามารถขยายกลุ่มลูกค้าได้โดยมีต้นทุนค่าก่อสร้างต่ำ ii) รุกเข้าหาลูกค้าเพื่อเสนอบริการใหม่ ๆ และ iii) เสนอบริการเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบนิเวศครบวงจร ส่วนในแง่ของอัตรากำไร บริษัทเน้นใช้กลยุทธ์ house brand ผ่านทั้งรูปแบบห้าง homepro และ mega home รวมถึงการปรับปรุงการจัดหา และ คัดสรรสินค้าโดยบริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น 20bps ในปีนี้ พร้อมทั้งจะเดินหน้าคุมต้นทุน และ คุมสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายในปีนี้
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-2569 อีก 1-3%
เป้าของบริษัทค่อนข้างใกล้เคียงกับสมมติฐานในปัจจุบันของเรา โดยเราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิ
ปี 2568-69 ขึ้นเล็กน้อย 1-3% ซึ่งสะท้อนผลประกอบการจริงปี 2567 และ ปรับสมมติฐานที่เกี่ยวข้องกับ
การขยายสาขาร้านเพื่อสะท้อนเป้าของบริษัท เราคาดว่ากำไรสุทธิของ HMPRO จะเพิ่มขึ้นปีละประมาณ
8% ในปี 2568-2569
กำไรระยะต่อไปจะกลับมาโตในระดับปกติ และ มีความเสี่ยงจากการแข่งขันที่สูงขึ้น
เราคาดว่ากำไรระยะต่อไปจะกลับมาโตในระดับปกติ และ มีความเสี่ยงอยู่บ้างที่การแข่งขันจะเข้มข้นขึ้น ทำให้มีการขยับช่วง PER และ de-rate PER ซึ่งจากข้อมูลในอดีต SSSG ของ HMPRO โตในระดับเลขตัวเดียวต่ำ ๆ ถึงกลาง ๆ (2557-2567) ในขณะที่กำไรสุทธิโตสองหลักในปี 2559-2562 (Figure 4) เราคาดว่ากำไรสุทธิของ HMRPO ในระยะต่อไปจะโตเป็นเลขหลักเดียวระดับกลางถึงสูง นอกจากนี้ เราพบว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้างที่การแข่งขันจะเพิ่มขึ้นจากทั้งบริษัทในประเทศ และ ต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขัน
ของบริษัทลดลง (ยอดขายต่อร้านลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 633 ล้านบาท/ร้านเหลือ 527 ล้านบาท/ร้านในปี 2567) ดังนั้น เราจึงปรับช่วง PER จากค่าเฉลี่ยในอดีตระหว่างหุ้นกลุ่มนี้ในประเทศ และต่างประเทศ เป็นค่าเฉลี่ยในอดีตมาอิงกับหุ้นกลุ่มนี้ในต่างประเทศแทน เราใช้ PER ที่ 18.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีตระหว่างหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดโลก) เพื่อสะท้อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม และ การเติบโตของกำไร
Valuation & Action
เราปรับลดราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 จาก 11.50 บาท เป็น 9.60 บาท อิงจาก PER ที่ 18.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต
ระหว่างหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดโลก) ถึงแม้เราจะมองแบบอนุรักษ์นิยมมากขึ้น และ ใช้ช่วง PER จากหุ้นกลุ่ม
นี้ในตลาดโลก แต่ราคาปิดล่าสุดยังมี upside อีก15% ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
Risks
เศรษฐกิจชะลอตัวลง, ขยายสาขาได้ต่ำกว่าเป้า, ราคาพืชผลอ่อนแอ, ภัยธรรมชาติ, สินค้าค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก