วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เลือกรายตัวในกลุ่มบริโภคในประเทศ

ประเมินตลาดจะยังคงมีแนวโน้มระวังต่อการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ บรรยากาศลงทุนโดยรวมยังถูกกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอลงและความกังวลผลกระทบที่เกิดจากการขึ้นภาษีการค้าของสหรัฐฯ
ซึ่งปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่เพิ่มขึ้น ทำให้มุมมองดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เกิดความเปลี่ยนแปลง จากคาดการณ์ลดดอกเบี้ยปี 2568 ที่เพียง 1 ครั้งในช่วง 1-2 เดือนก่อนหน้า มาสู่คาดการณ์ปรับลดดอกเบี้ยล่าสุด 3 ครั้ง (การประชุม มิ.ย./ก.ค./ต.ค.) ตลาดช่วงที่ผ่านมาตอบรับเชิงลบต่อตัวเลขเศรษฐกิจ ขณะที่มีโอกาสเกิด de-rating จาก Valuation ที่สูงของหุ้นสหรัฐฯ จนกว่าทิศทางของตัวเลขเศรษฐกิจจะเริ่มยืนยันการหยุดชะลอตัวหรือปรับประมาณการลง ซึ่งจนกว่าจะถึงจุดดังกล่าว ตลาดจะยังคงระวังต่อการปรับลดดลงของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และความเสี่ยงของการเกิดการถดถอยจากสัญญาณ Inverted Yield Curve (ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น สูงกว่าระยะยาว)
การอ่อนค่าของเงินสหรัฐฯ ดีกับ TIP market แต่ไทยอาจถูกถ่วงด้วยปัจจัยการเมืองในประเทศและราคาน้ำมันดิบ: ดัชนีค่าเงินสหรัฐฯ (Dollar Index) ที่อ่อนค่าลงในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแนวโน้มเป็นบวกต่อทิศทางเงินทุนและภาพรวมการลงทุนหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) หุ้นฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียปรับขึ้น +4.15% และ 2.12% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยปรับลดลง -2.15% ปัจจัยถ่วงที่สำคัญ เราประเมินว่ามาจากปัญหาการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะข่าวฮั้วสว. เนื่องจากหากมีเหตุให้สว.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ อาจส่งผลกระทบต่อการผ่านร่างกฎหมายสำคัญ รวมไปถึงพรบ.งบประมาณปี 2569 นอกจากนี้ การปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบจากโอกาสยุติความขัดแย้งยูเครนรัสเซีย และการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของโอเปค เป็นปัจจัยกดดันต่อกำไรกลุ่มพลังงาน และ EPS ของ SET Index ทำให้การลงทุนอาจต้องเน้นกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ และได้ประโยชน์ต่อทิศทางราคาพลังงานที่ทรงตัวถึงต่ำลง
ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัวในกลุ่ม valuation ไม่แพง หรือเก็งกำไรแบบตัดขาดทุนในกลุ่มอิงเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันอยู่ในสถานะมีการถือครองต่ำ (under-owned) //สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจทางพื้นฐาน เรามอง กลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูง // หุ้นเล็กที่น่าสนใจ: MEB, SORKON, VRANDA, NER // บรรยากาศลงทุนหุ้นจีนที่ดีขึ้น หนุนต่อ DR อิงหุ้นจีน
แนวรับ: 1,173 แนวต้าน : 1,200-1,207 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• BLA (24): ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตทั้งจากกำไรการลงทุน และการเร่งทำประกันก่อนการบังคับใช้ co-payment ตั้งแต่ 20 มี.ค. ตัดขาดทุน 19.40 บาท
• ERW (4): ราคาหุ้นปรับลดลงจนถึง 12x PER ซึ่งใกล้เคียงระดับในช่วงสถานการณ์โควิด ทำให้อยู่ในจุดที่มีโอกาสฟื้นตัว ตัดขาดทุน 3.20 บาท
• RATCH (30) : หุ้น Defensive ที่ปัจจุบันซื้อขาย PER 7 เท่า และให้ผลตอบแทนปันผลทั้งปี 6% (ปันผลที่จะถึง 0.80 บาท XD 17 มี.ค.) ตัดขาดทุน 25 บาท
• PTTGC (20): ราคาซื้อขายที่ PBV เพียง 0.29 เท่า ขณะที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มผ่านช่วงที่แย่ที่สุดไปแล้ว ตัดขาดทุน 15.70 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- ECB มีมติหั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด พร้อมหั่นคาดการณ์ GDP ยูโรโซนปี 68-69
- "ทรัมป์" ประกาศเลื่อนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกจนถึง 2 เม.ย.
- "ทรัมป์" เล็งออกคำสั่งฝ่ายบริหารยุบกระทรวงศึกษาธิการ
- สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด
- ผู้ว่าแบงก์ชาติจีนเผย พร้อมลดดอกเบี้ย, RRR ให้สอดคล้องสภาพเศรษฐกิจการเงินในปีนี้
- บสย. ตั้ง 1 แสนล้านบ.ค้ำประกันสินเชื่อปี 68
- บทวิเคราะห์วันนี้ : BCH แนะนำ ซื้อ เป้า 20 บาท/ CK แนะนำ ซื้อ เป้า 20.20 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
7 มี.ค. – US Nonfarm Payrolls, Unemployment rate, Powell Speech
9 มี.ค. – CN Inflation
11 มี.ค. – JOLTs Job Openings