วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังคงเน้นการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังคงเน้นการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว

ภาพดัชนียังไม่ฟื้นตัวชัดเจน แม้วานนี้ตลาดหุ้นไทยจะสามารถกลับมาปิดบวกได้ จากการที่ ครม. อนุมัติให้ผู้ซื้อกองทุน LTF สามารถโยกเงินมาเข้ากองทุน ThaiESG Extra ได้

และเพิ่มวงเงินซื้อกองทุนประหยัดภาษีดังกล่าวอีก 300,000 บาท/ราย และการที่ รัฐบาลเตรียมนำมาตรการในการเพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต. เข้าที่ประชุม ครม. ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน อย่างไรก็ตามเรามองว่ามาตรการโยกเงินจากกองทุน LTF เดิมมายังกองทุนใหม่นั้น เบื้องต้นเรามองเป็นบวกเล็กน้อยต่อมาตรการดังกล่าวจากการช่วยชะลอการไหลออกของเงินลงทุนได้ อย่างไรก็ตามเรามองว่าหากมีการออกมาตรการอื่นๆ ที่ช่วยเศรษฐกิจไทย และเพิ่มความเชื่อมั่นในระยะยาวนั้น จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับหุ้นได้ในระยะยาวได้มากยิ่งขึ้น สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของเรายังคงเน้นการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัวเป็นหลัก โดยเรามองเป็นโอกาสสะสมหุ้นที่มี ESG rating สูง และมูลค่าปรับลดลงมามาก อาทิ PTTGC, TFG, BTG, RATCH, CPN และ BCH     

การอ่อนค่าของเงินสหรัฐฯ ดีกับ TIP market แต่ไทยอาจถูกถ่วงด้วยปัจจัยการเมืองในประเทศและราคาน้ำมันดิบ: ดัชนีค่าเงินสหรัฐฯ (Dollar Index) ที่อ่อนค่าลงในช่วง          1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแนวโน้มเป็นบวกต่อทิศทางเงินทุนและภาพรวมการลงทุนหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยถ่วงที่สำคัญ เราประเมินว่ามาจากปัญหาการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะข่าวฮั้วสว. เนื่องจากหากมีเหตุให้สว.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ อาจส่งผลกระทบต่อการผ่านร่างกฎหมายสำคัญ รวมไปถึงพรบ.งบประมาณปี 2569 นอกจากนี้ การปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบจากโอกาสยุติความขัดแย้งยูเครนรัสเซีย และการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของโอเปค เป็นปัจจัยกดดันต่อกำไรกลุ่มพลังงาน และ EPS ของ SET Index ทำให้การลงทุนอาจต้องเน้นกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ และได้ประโยชน์ต่อทิศทางราคาพลังงานที่ทรงตัวถึงต่ำลง 
 

 

ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัวในกลุ่ม valuation ไม่แพง หรือเก็งกำไรแบบตัดขาดทุนในกลุ่มอิงเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันอยู่ในสถานะมีการถือครองต่ำ (under-owned) //สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจทางพื้นฐาน เรามอง กลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูง // หุ้นเล็กที่น่าสนใจ: MEB, SORKON, VRANDA, NER // บรรยากาศลงทุนหุ้นจีนที่ดีขึ้น หนุนต่อ DR อิงหุ้นจีน

แนวรับ: 1,150/1,173   แนวต้าน : 1,207/1,215 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    AP (9.60): กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อยู่ในสถานะมีการถือครองต่ำ (under-owned) และมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงปันผล XD 0.60 บาท 7 พ.ค. ตัดขาดทุน 8.70 บาท 
•    BCH (17): ผลการดำเนินงานได้แรงหนุนจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศ ขณะที่อัตราค่ารักษาโรคซับซ้อนกลับมาคงที่อีกครั้ง ตัดขาดทุน 14.60 บาท
•    RATCH (30) : หุ้น Defensive ที่ปัจจุบันซื้อขาย PER 7 เท่า และให้ผลตอบแทนปันผลทั้งปี 6% (ปันผลที่จะถึง 0.80 บาท XD 17 มี.ค.)  ตัดขาดทุน 25 บาท
•    SNNP (15): คาดผลการดำเนินงานปี 2568 ฟื้นตัว จากยอดขายทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ขณะอัตรากำไรสุทธิคาดปรับดีขึ้นจากปี 2567 ตัดขาดทุน 12.30 บาท 
 

ประเด็นที่น่าสนใจ  

-    "ทรัมป์" สั่งเก็บภาษี 50% ต่อเหล็ก-อะลูมิเนียมจากแคนาดา
-    สหรัฐเผยตัวเลขเปิดรับสมัครงานสูงกว่าคาดในเดือนม.ค.
-    แคนาดาขู่ตัดไฟสหรัฐ หาก "ทรัมป์" ไม่เลิกเทรดวอร์
-    ครม.ไฟเขียว Thai ESG Extra โยก LTF เดิมเข้ากองทุนใหม่ ลดภาษี 5 แสน
-    กกพ.เปิดเฮียริ่ง 3 ทางเลือก ค่าไฟ งวด พ.ค.-ส.ค.68 ที่ 4.15 – 5.16 บาท/หน่วย
-    บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบรับหลักการคำนวณเงินบำนาญชราภาพสูตรใหม่มาตรา33,39

 

 

-    รมว.ท่องเที่ยว แย้มได้เห็นศิลปินระดับโลกในไทยแน่ หลัง "เลดี้กาก้า" จัดคอนฯ ใหญ่ในสิงคโปร์
-    XD: BA (0.70), BDMS (0.40), CK (0.15), RCL (1.50), SAV (0.50), SCCC (7.00)
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : BDMS แนะนำ ซื้อ เป้า 33 บาท     

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

12 มี.ค. – US CPI
 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังคงเน้นการเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว