วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยยังไร้ปัจจัยหนุน เน้นเลือกลงทุนรายตัว

ระยะสั้นมองเห็นเพียงโอกาสเก็งกำไรในกรอบแคบในสินทรัพย์เสี่ยง ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังดูเป็นลบ และขาดปัจจัยสนับสนุน
จากทั้งปัจจัยในต่างประเทศที่สงครามการค้ายังไม่สามารถตกลงกันได้ และยังมีการตอบโต้กันไปมาระหว่างนานาประเทศ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังมีแรงกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เติบโตดีเท่าที่คาดการณ์ไว้ และยังไม่เห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ออกมา นอกจากเงิน 10,000 บาท นอกจากนี้ยังมีประเด็นกดดันทางการเมือง ที่หากการเลือกตั้ง ส.ว. มีปัญหาอาจส่งผลกระทบถึงการเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 รวมทั้งนโยบายอื่นๆ ที่อยู่ในแผนของรัฐบาล เพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการ Entertainment Complex, โครงการ Landbridge เป็นต้น ในระยะสั้นเราจึงคงกลยุทธ์การเลือกลงทุนเป็นรายตัว โดยกลุ่มที่เรามองว่าน่าสนใจในช่วงนี้ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก, ปศุสัตว์, กลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังรัฐบาลจีนมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่
ปัจจัยในประเทศเบาบางมีเพียงประเด็นความคืบหน้าของกอง Thai ESGX แนะติดตามประชุม FOMC ติดตามการประชุม FOMC ของสหรัฐ โดยตลาดคาดจะเห็นการคงดอกเบี้ย ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายน สำหรับปัจจัยในประเทศมีเพียงประเด็นของความคืบหน้าของกอง Thai ESG หลัง ก.ล.ต. พร้อมออกเกณฑ์รองรับการจัดตั้ง โดยเริ่มขอจัดตั้งกองทุนได้ภายในเมษายน 2568 รองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF โดยมีหลักเกณฑ์ที่ NAV โดยเฉลี่ยในรอบบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ในผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่มี ESG และร้อยละ 65 ของ NAV โดยเฉลี่ยในหุ้นในกลุ่ม ESG
ภาพรวมกลยุทธ์ เก็งกำไรรายตัวในกลุ่ม valuation ไม่แพง ปันผลสูง หรือเก็งกำไรแบบตัดขาดทุนในกลุ่มอิงเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันอยู่ในสถานะมีการถือครองต่ำ (under-owned) แนะนำอยู่กับหุ้นปันผลที่คุณภาพดี ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมากลุ่มValuation ถูก และ หุ้นปันผลสูงให้ผลตอบแทนนำตลาด
อิงดัชนี SETHD -7.7% YTD มากกว่า ดัชนี SET -17% YTD เรามองว่าหุ้นที่มี valuation ไม่แพง มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงจะนำตลาดต่อเนื่องในแนวโน้มข้างหน้า สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจทางพื้นฐาน เรามอง กลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูง หุ้นเล็กที่น่าสนใจ: MEB, SORKON, VRANDA, NER บรรยากาศการลงทุนหุ้นจีนที่ดีขึ้น หนุนต่อ DR อิงหุ้นจีน
แนวรับ: 1,150 แนวต้าน : 1,190 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• BDMS (25.5): ราคาหุ้นปรับลดลงมาเกินผลกระทบจาก co-payment และคาดจะได้ประโยชน์จากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ตัดขาดทุน 23.5 บาท
• KKP (58) : ตลาดรถยนต์มือสองส่งสัญญาณฟื้นตัวเป็นดัชนีชี้นำคุณสินทรัพย์ที่ดีขึ้น อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 6% ตัดขาดทุน 54.50 บาท
• SABINA (22) : แผนการลดต้นทุนช่วยหนุนกำไรทำจุดสูงสุดใหม่ ราคาหุ้นไม่แพง อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 7% ตัดขาดทุน 18.50 บาท
• PTTGC (21): ธุรกิจอยู่ใน Bottom cycle มองการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 2H25 และยังมี Upside จากแผนการลด OPEX ราคาซื้อขาย 0.2x PBV ตัดขาดทุน 16.00 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- จีนเผยแผนกระตุ้นการบริโภคในประเทศ มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- ยูเครนยืนยันถอนทัพจากเมืองซูดจาของรัสเซีย, เซเลนสกีลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะผู้แทนเจรจาสันติภาพ
- “ทักษิณ” ฝันดันไทยเป็นฮับ AI-ดาต้าเซ็นเตอร์ หั่นค่าไฟเหลือ 2.50 บาท จูงใจลงทุน
- อานิสงส์ The White Lotus ดันยอดจองโรงแรมอนันตรา 3 แห่งพุ่ง 180 %
- กัลฟ์1 เปิดตัว วันอาทิตย์ แบรนด์โซลาร์บ้านครบวงจร บุกตลาดค้าปลีกพลังงานสะอาด
- KBANK อนุมัติจ่ายเงินปันผลพิเศษอีก 2.50 บาทต่อหุ้น จะ XD วันที่ 15 พ.ค. 25
- บทวิเคราะห์วันนี้ : OSP แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 20.00 บาท/ SCB แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 140.00 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
17 มี.ค. – US Retail sales