วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.เคจีไอฯ Healthcare Sector หุ้นรองรับความผันผวนตลาด

ผลประกอบการ 4Q67 ของโรงพยาบาลใหญ่แข็งแกร่งกว่าโรงพยาบาลขนาดเล็กอย่างมาก
เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการ 4Q67 เห็นได้ชัดว่า โรงพยาบาลขนาดใหญ่ (BDMS* และ BH*) ดูน่าสนใจในช่วงที่ไม่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะ BDMS ซึ่งทั้งรายได้และกำไรจากธุรกิจหลักของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ออกมาแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่รายได้และกำไรของโรงพยาบาลขนาดเล็ก (BCH*, CHG* และ EKH*) แผ่วลง เราคิดว่าโรงพยาบาลใหญ่ได้โมเมนตัมบวกจากผู้ป่วยที่มี intensity สูง ในขณะที่มีจำนวนผู้ป่วยมาใช้บริการโรงพยาบาลเล็กลดลง และยังมีประเด็นเฉพาะจากการ write-off รายได้ของโรงพยาบาลจากการจ่ายค่า RW>2 ของสำนักงานประกันสังคม (SSO) ด้วย อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าโรงพยาบาลที่มีรายได้จากการจ่ายค่า RW>2 ของ SSO จะดูน่าตื่นเต้นในปี 2568 หลังจากที่ SSO ตกลงที่จะจ่าย 12,000 บาท/RW ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568
คาดว่าโรงพยาบาลที่มีรายได้จาก SSO จะดีขึ้น YoY ในปี 2568F
หลังจากโรงพยาบาลที่มีรายได้จาก SSO ผ่านช่วงผลการดำเนินงานย่ำแย่ที่สุดไปแล้วใน 4Q67 เราคาดว่า
ผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลเหล่านี้จะดีขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2568F เนื่องจากมีสองปัจจัยบวกใน
ปีนี้ ได้แก่ i) SSO ตกลงจ่ายค่ารักษาที่อัตรา 12,000 บาท/RW (หลังจากที่ปรับลดลงมาอยู่ที่ 8,000 บาท
เท่านั้นใน 2H67) และ ii) ไม่มีความเสี่ยงด้าน downside จากผู้ป่วยที่รัฐบาลคูเวตส่งมารักษาอีก ซึ่งตามธีม
นี้ เราคิดว่า BCH* และ CHG* น่าจะมีพัฒนาการในเชิงบวกจากประเด็นแนวโน้มการฟื้นตัว YoY ในปี
2568F
1Q68F จะไม่น่าตื่นเต้นเพราะปัจจัยฤดูกาล
เมื่อดูแนวโน้มใน 1Q68F เราเชื่อว่ารูปแบบของกลุ่มโรงพยาบาลจะยังเหมือนเดิม และน่าจะเป็นไตรมาสที่ไม่น่าตื่นเต้นเพราะปัจจัยฤดูกาล อย่างไรก็ตาม เราคิดว่ามีบางโรงพยาบาลที่น่าจะได้อานิสงส์จากฤดูหนาวที่ยาวนานกว่าปกติในประเทศไทย ซึ่งทำให้มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2568 ทั้งนี้ กระทรวง
สาธารณสุขรายงานว่าจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 68,980 ราย (+79% YoY) ในเดือนมกราคม
จะเริ่มใช้แนวทาง Co-payment ในวันที่ 20 มีนาคม
จากการใช้สิทธิ์เบิกประกันสำหรับโรคสามัญเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สมาคมประกันชีวิตไทยออกกรมธรรม์ใหม่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการทำประกันสุขภาพแบบมีส่วนร่วมจ่าย (co-payment) ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม โดยกรมธรรม์ประเภทใหม่นี้จะมีเกณฑ์ให้ผู้ซื้อประกันพิจารณาเกี่ยวกับเงื่อนไขในการหักค่าใช้จ่าย 30% หรือ 50% ในปีถัดไป ซึ่งในส่วนของบริษัทประกัน จะช่วยจำกัดความสูญเสียจากการที่มีผู้ซื้อประกันเพิ่มขึ้นในภาวะสังคมสูงวัย สำหรับโรงพยาบาล การใช้กรมธรรม์แบบมีส่วนร่วมจ่ายจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสัดส่วนรายได้จากการรักษาโรคสามัญที่เข้าเกณฑ์น่าจะคิดเป็นเพียง 1-3% ของโรงพยาบาลที่เราศึกษาอยู่เท่านั้น
Valuation & Action
ตามที่เราเคยระบุเอาไว้ในบทวิเคราะห์ฉบับที่แล้ว (วันที่ 4 กุมภาพันธ์) PE ของกลุ่มโรงพยาบาลไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 24.7x ในปี 2567 จาก 41.0x ในปี 2558 รวมทั้งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลในภูมิภาคที่ 32.7x ในปี 2567F และ 26.9x ในปี 2568F ดังนั้น เราจึงคิดว่าราคาหุ้นโรงพยาบาลส่วนใหญ่ไม่แพง เรายังให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่ Overweight โดยเลือก BCH* และ BDMS* เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม และประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2568F ที่ 21.50 บาท และ 39.00 บาท ตามลำดับ
Risks
COVID-19 ระบาด และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้