วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ มองเป็นบวกต่อมาตรการต่างๆ ที่ออกมา

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ มองเป็นบวกต่อมาตรการต่างๆ ที่ออกมา

รัฐบาลและธปท. กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลง แม้ช่วงเช้าจะปรับขึ้นได้ดีมาโดยตลอด คาดส่วนหนึ่งมาจากแรงขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

หลัง ธปท. ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ในระหว่างวันที่ 1 พ.ค. 68 – 30 มิ.ย. 69 เพื่อกระตุ้นความต้องการอสังหาริมทรัพย์จากสภาวะตลาดที่อ่อนแอ นอกจากนี้วานนี้ยังมีรายงานข่าวว่ารัฐบาลเตรียมที่จะซื้อคืนหนี้เสียที่มีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาท/ราย (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% ของหนี้เสียในตลาดทั้งหมด) และนำมาให้ AMC บริหารต่อ เรามองเป็นบวกต่อความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล และธปท. และด้วยแนวโน้มดังกล่าว เราประเมินมีโอกาสมากขึ้นที่ ธปท. จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.25% ในปี 68 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และความต้องการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น    

ประเมิน Downside ของตลาดหุ้นไทยไม่ควรต่ำกว่าบริเวณ 1,100 จุด เราประเมิน Downside ของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ บริเวณ 1,100 จุด ซึ่งคำนวณจาก Earning Yield Gap Model โดยอิง EPS ปี 2025F ที่ 94 บาท และอิง EYG ระดับ 6.5% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติโควิดในช่วงก่อนหน้า หาก SET Index ปรับลดลงสู่บริเวณดังกล่าว เรามองเป็นโอกาสในการเข้าสะสมจาก Valuation ที่จะซื้อ/ขายที่ Forward P/E ปี 2025F เพียง 11.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 16 เท่า ค่อนข้างมาก จึงคาดจะเริ่มมีแรงซื้อกลับจากทั้งนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนต่างชาติ

ภาพรวมกลยุทธ์ เก็งกำไรรายตัวในกลุ่ม valuation ไม่แพง ปันผลสูง หรือเก็งกำไรแบบตัดขาดทุนในกลุ่มอิงเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันอยู่ในสถานะมีการถือครองต่ำ (under-owned) แนะนำอยู่กับหุ้นปันผลที่คุณภาพดี  ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมากลุ่มValuation ถูก และ หุ้นปันผลสูงให้ผลตอบแทนนำตลาด อิง ดัชนี SETHD -7% YTD มากกว่า ดัชนี SET -16% YTD เรามองว่าหุ้นที่มี valuation ไม่แพง มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงจะนำตลาดต่อเนื่องในแนวโน้มข้างหน้า สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจทางพื้นฐาน เรามอง กลุ่ม

  

ท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูง หุ้นเล็กที่น่าสนใจ: MEB, SORKON, VRANDA, NER  บรรยากาศการลงทุนหุ้นจีนที่ดีขึ้น หนุนต่อ DR อิงหุ้นจีน

แนวรับ: 1,150 แนวต้าน : 1,215 จุด

สัดส่วนลงทุน: พอร์ตหุ้น 60% vs เงินสด 40%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    BDMS (25.5): ราคาหุ้นปรับลดลงมาเกินผลกระทบจาก co-payment และคาดจะได้ประโยชน์จากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ตัดขาดทุน 23 บาท
•    AP (10): แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 68 ดูดีสุดในกลุ่มอสังหาฯ ราคาหุ้นปรับลดลงมามากจนมูลค่าหุ้นไม่แพง และอัตราเงินปันผลสูงถึง 6-7% ตัดขาดทุน 8.60 บาท
•    SNNP (15): คาดผลการดำเนินงานปี 68 จะกลับมาฟื้นตัว จากทั้งรายได้ที่ได้แรงหนุนจากรายได้ต่างประเทศ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ตัดขาดทุน 12.20 บาท
•    MEB (27): ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 68 จะเติบโตดีต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนถ่ายหนังสือเล่มสู่ E-Book ราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E เพียง 13 เท่า ตัดขาดทุน 22.20 บาท 
 

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐหดตัว -1.8% ใน Q1/68
-    ยูเครน-สหรัฐเตรียมเจรจาที่ซาอุฯ 24 มี.ค.
-    รมว.คลัง เผยคุย สมาคมแบงก์ ให้ช่วยแก้หนี้ กลุ่มหนี้เสีย ต่ำกว่า 1 แสนบาท
-    ธปท. ผ่อนคลาย LTV ชั่วคราว กู้ซื้อบ้านได้ 100% เริ่ม 1 พ.ค.68
-    ราคาน้ำมัน WTI พุ่งกว่า 1% ทะลุ $68 หลังสต็อกน้ำมันกลั่นลดลงมากกว่าคาด
-    ปตท. ประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงิน 16,000 ล้านบาท จำนวน 470 ล้านหุ้น ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. – 23 ก.ย. นี้
-    “Nvidia” วางแผนลงทุน 500,000 ล้านดอลลาร์ ผลิตชิปในสหรัฐ ตลอด 4 ปีข้างหน้า
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : EGCO แนะนำ ซื้อ เป้า 115 บาท   

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

25 มี.ค. – BoJ Monetary Policy M


 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ มองเป็นบวกต่อมาตรการต่างๆ ที่ออกมา