วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยยังขาด Catalyst

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยยังขาด Catalyst

ตลาดหุ้นไทยยังคงขาด Catalyst แม้ Downside ตลาดหุ้นไทยจะจำกัด แต่ยังคงขาดปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับขึ้น โดยภาพรวมนักลงทุนยังมีความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

ที่ยังมีความเสี่ยงจากการปรับประมาณการ GDP ปี 2568 ลง จากความเสี่ยงของการส่งออกที่อาจต่ำกว่าคาด กระทบจากมาตรการกีดกันการค้าของคุณโดนัลด์ ทรัมป์  

Entertainment Complex มีความคืบหน้า วานนี้ที่ประชุม ครม. มีการอนุมัติ พ.ร.บ. Entertainment Complex ในเบื้องต้นประเมินสัดส่วนของ Casino จะไม่เกิน 10% เรามองเป็นบวกต่อความคืบหน้าดังกล่าว เนื่องจากเป็นการสะท้อนโอกาสการเกิดของโครงการมากขึ้น มองเป็น sentiment เชิงบวกต่อ STECON, BA, BTS และ AOT

เน้นกลุ่มอิงปัจจัยในประเทศที่มูลค่าหุ้นไม่แพง จากความเสี่ยงของสงครามการค้า และนโยบายของคุณโดนัลด์ ทรัมป์ที่ยังมีความไม่แน่นอน เราจึงยังเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบเลือกลงทุนรายตัว โดยเน้นหุ้นกลุ่มที่อิงปัจจัยในประเทศ ที่มีมูลค่าหุ้นไม่แพง เมื่อเทียบกับอดีต และมี outlook ปี 2568 ที่ดี เรายังคงชอบกลุ่มค้าปลีก, ธนาคาร, การเงิน, โรงไฟฟ้า ทั้งนี้มีหุ้นกลุ่มอิงปัจจัยต่างประเทศบางกลุ่มเริ่มน่าสนใจจากปัจจัยเฉพาะตัว อาทิกลุ่ม       ปศุสัตว์ ที่ได้แรงหนุนจากราคาขายเฉลี่ยเนื้อหมูในประเทศ และเวียดนามเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ปรับลดลง และกลุ่มพลังงานต้นน้ำสามารถเก็งกำไรได้ในระยะสั้นๆ จาก Downside ของราคาน้ำมันดิบที่เริ่มจำกัด ประกอบกับมีโอกาสเห็นการปรับประมาณการกำไรของ consensus ขึ้น  

ภาพรวมกลยุทธ์ ลงทุนในหุ้นรายตัว มูลค่าไม่แพง และปันผลสูง เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัวที่ Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจจีนในช่วงสั้นเนื่องจากกระแสเงินได้เปลี่ยนไปพักในกลุ่มอื่นๆ เราชอบกลุ่มค้าปลีก พลังงานต้นน้ำ และ สื่อสาร 

แนวรับ: 1,170/1,180 แนวต้าน : 1,200 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

 

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    PTTEP (125.0) : เก็งกำไรจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวบวก มีโอกาสที่ earnings consensus มีโอกาสปรับเพิ่ม เราคาดว่า consensus จะใช้สมมติฐาน ASP ต่ำเกินไป ตัดขาดทุน 113.0 บาท
•    RATCH (34.0): ซื้อขายเพียง 7x PER และให้ผลตอบแทนปันผล 6% ราคาหุ้นได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและผลตอบแทนพันธบัตร ตัดขาดทุน 25.00 บาท
•    HMPRO (9.30) : ได้ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืนที่ 6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ EPS เพิ่มขึ้น 6.5% พร้อมการเติบโตของ SSS ในเชิงบวกที่ + low single ตั้งแต่ช่วงต้นปี ตัดขาดทุน 8.10 บาท
•    MEB (23.5) : คาดกำไรปกติจะจะเติบโต 16% yoy  ซื้อ/ขาย Forward P/E ปี 68 ที่ 13x ไม่แพงเมื่อเทียบกับ ROE ระดับ 30%  ตัดขาดทุน 21.9 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจ  

-    สหรัฐเผย GDP +2.4% ใน Q4/67 สูงกว่าคาดการณ์
-    สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด
-    “ทรัมป์” ขู่เพิ่มภาษีนำเข้า “สหภาพยุโรป-แคนาดา” สูงกว่าเดิม
-    ครม.เคาะร่าง พรบ.ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรลงทุนเพื่อท่องเที่ยว-"กาสิโน" ไม่เกิน 10%
-    ครม.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. แก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.สอบสวน กำกับสำนักสอบบัญชี-เข้มชอร์ตเซล ป้องปราม บจ.ทุจริต
-    จ่อฟื้น "เราเที่ยวด้วยกัน" หวังกระตุ้นช่วงโลว์ซีซั่น-เร่งกระตุ้นนทท.จีน ขยายฟรีวีซ่า
-    วันสุดท้ายของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซีรี่ย์ H เพื่อ roll over ไปซี่รี่ย์ M

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

28 มี.ค. – TH Industrial Production, Private Consumption, Retail Sales 
1  เม.ย. – TH S&P Global PMI, EU Inflation, JOLTs Job Openings
2  เม.ย. – Liberation day
3  เม.ย. – GULF กลับมาซื้อขายในตลาด

 

 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ตลาดหุ้นไทยยังขาด Catalyst