เวสต์เทกซัส 59.58 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล เบรนท์ 62.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ /บาร์เรล

วิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน (9 เม.ย. 68) ราคาน้ำมันดิบปรับลดต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคา
(-) ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนท์ ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก โดยตลาดประเมินว่า ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก และกดดันความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกให้ชะลอตัวลง
(-) สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมจากจีน จากเดิมในอัตรา 54% เป็น 104% โดยมีผลบังคับใช้ในวันพุธที่ 9 เม.ย. 68 เป็นต้นไป (ตามเวลาสหรัฐฯ) เพื่อตอบโต้มาตรการทางภาษีของจีน ซึ่งประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 34% โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. 68 เป็นต้นไป ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสองประเทศ (Reciprocal Tariff) ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้นโยบายปกป้องการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
(+/-) หลังตลาดปิด สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐฯ (API) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 4 เม.ย. 68 ปรับตัวลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล ในขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นปรับตัวลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้น 0.2 ล้านบาร์เรล สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังเติบโตในอัตราชะลอตัว
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังอุปสงค์น้ำมันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเติบโต แม้ในอัตราที่ชะลอตัว โดยเวียดนามนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 81.5% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาสู่ระดับ 2.3 ล้านเมตริกตันในเดือน มี.ค. 68 นอกจากนี้ โรงกลั่นน้ำมันในอินโดนีเซียเตรียมนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มเติมเพื่อทดแทนสต็อกที่ปรับลดลงไปในช่วงก่อนหน้านี้
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังนักลงทุนคาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศในเอเชียอาจเดินหน้าเจรจาข้อตกลงภาษีศุลกากรบับใหม่กับสหรัฐฯ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคและส่งผลบวกต่ออุปสงค์น้ำมัน นอกจากนี้ ความต้องการใช้น้ำมัน Middle Distillate ในเอเชียยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากกิจกรรมเดินทางและขนส่งที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง