วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ โฟกัสไปยังผลประกอบการระหว่างรอดีลการค้า

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ โฟกัสไปยังผลประกอบการระหว่างรอดีลการค้า

ตลาดโลกไร้ปัจจัยผลักดันชัดเจนระหว่างรอพัฒนาการภาษีการค้า ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ แกว่งตัวกรอบแคบ ดัชนีกิจกรรมการผลิตในเท็กซัส (Dallas Fed Manufacturing Gauge) ตกลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ พ.ค. 2020

เนื่องจากผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ห่วงโซ่อุปทานตึงตัว เกือบ 60% ของบริษัทระบุว่า ภาษีสูงขึ้นจะกระทบต่อธุรกิจในปีนี้ 38% ระบุว่า การผลักภาระต้นทุนไปยังลูกค้ายากขึ้นมาก ทั้งนี้โฟกัสของนักลงทุนเคลื่อนไปยังผลประกอบการ โดยเฉพาะการรายงานผลประกอบการของบจ.ขนาดใหญ่ในช่วงวันพุธ (MSFT, META) และพฤหัสนี้ (AAPL, AMZN) ขณะที่รอติดตามความคืบหน้าภาษีการค้าที่สหรัฐฯ อยู่ระหว่างเจรจากับ 15-17 ประเทศ และมีรายงานว่ามีโอกาสที่จะประกาศความสำเร็จกับบางประเทศในช่วงปลายสัปดาห์นี้หรือต้นสัปดาห์หน้า 

ธนาคารโลก (World Bank) ปรับลด GDP ไทยปี 68 เหลือ 1.6%: ซึ่งลดลงจากคาดการณ์ ก.พ.68 ที่คาดว่าจะเติบโต 2.9% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการลงทุน ทั้งนี้การเติบโตของไทยอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับคาดการณ์รวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกที่ 4.0% (จาก 5.0%) และต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ทั้ง เวียดนาม 5.8%, ฟิลิปปินส์ 5.3%, อินโดนีเซีย 4.7%, กัมพูชา 4.0%, มาเลเซีย 3.9%, สปป.ลาว 3.5% ขณะที่คาด GDP จีนจะเติบโตที่ 4.0% 

ยังรอติดตามการปรับลดคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของ สศค. และธปท.: ในสัปดาห์นี้หน่วยงานรัฐที่สำคัญ 2 แห่ง มีแนวโน้มเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจฉบับใหม่ ได้แก่ สำนักงาเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันที่ 30 เม.ย. ซึ่งประมาณการ GDP ปี 2568 เดิมของทั้งสองหน่วยงานอยู่ที่ 3.0% และ 2.9% ตามลำดับ โดยคาดประมาณการใหม่ จะอยู่ในช่วง 1.5%+/- หากประมาณการใหม่ต่ำกว่าระดับดังกล่าวมาก อาจสร้างแรงกระเพื่อมหรือความกังวลให้กับตลาดและนักลงทุนได้
 

ภาพรวมกลยุทธ์ ยังลุ้นผ่าน 1,160 เพื่อยกกรอบการเล่นสู่แนวต้าน 1,200+/- จุด แต่หากหลุด 1,140 ควรชะลอการเก็งกำไรระยะสั้น หุ้นปลอดภัย โรงไฟฟ้า, การแพทย์, สื่อสาร (EGCO, RATCH, BDMS, BCH, BH, ADVANC, TRUE) และกลุ่มอาหาร ที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ (TFG, GFPT, BTG, CPF, NSL) ขณะทางพื้นฐานยังระวังการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

แนวรับ: 1,145 แนวต้าน : 1,169 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    CPF (30) : ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรก และมีปัจจัยบวกระยะถัดไปจากนำ CPP เข้าจดทะเบียนในตปท. ตัดขาดทุน 24.50 บาท
•    OR (15) : ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 คาดกำไร 4.4 พันล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่ ผลักดันโดยการฟื้นตัวของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งปีคาดกำไรโต 26% ตัดขาดทุน 12.90 บาท
•    OSP (18.50): แนวโน้มผลประกอบการผ่านช่วงแย่สุดไปแล้วและกำลังฟื้นตัว สะท้อนผ่าน GPM ที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 14.20 บาท
•    NSL (36) : แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่งต่อเนื่องในไตรมาส 1 ทั้งจากการขยายสาขาของ 7-11 และเปิดตัวสินค้าใหม่ ตัดขาดทุน 30 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจ  

-    จีนให้คำมั่นหนุนเศรษฐกิจ-ช่วยเหลือผู้ส่งออก รับมือผลกระทบภาษีทรัมป์
-    เร่งเครื่อง ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’ ชงเคาะร่าง พ.ร.บ.ใหม่ พฤษภาคมนี้
-    ก.ท่องเที่ยวฯ แจงแม้ต่างชาติเข้าไทยลด แต่ใช้จ่าย-วันเข้าพักเพิ่มขึ้น มั่นใจรายได้ตามเป้า 2.2 ล้านลบ.
-    ORI ชำระคืนหุ้นกู้ครบตามกำหนด 2.96 พันลบ. พร้อมโอน 3 โครงการเสร็จใหม่ใน Q2/68
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : ITC แนะนำ ถือ เป้า 13.30 บาท/ BJC แนะนำ ซื้อ เป้า 28 บาท/ PTTEP แนะนำ ซื้อ เป้า 155 บาท/ OR แนะนำ ซื้อ เป้า 16 บาท 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

29 ม.ค. – US CB Consumer Confidence, JOLTS Job Opening
30 ม.ค. – MPC Meeting, US GDP (Q1), PCE, CN Manufacturing Index
1 ม.ค. – TH Labour Day, US Manufacturing PMI, ISM Manufacturing PMI
2 ม.ค. – US Nonfarm Payroll, Unemployment Rate

 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ โฟกัสไปยังผลประกอบการระหว่างรอดีลการค้า