จับตาความเคลื่อนไหวสินทรัพย์ 8 ประเภท หลังวิกฤต'เอสวีบี - เครดิต สวิส'

จับตาความเคลื่อนไหวสินทรัพย์ 8 ประเภท หลังวิกฤต'เอสวีบี - เครดิต สวิส'

สัปดาห์แห่งความปั่นป่วนในตลาดเงินสหรัฐปิดฉากลงแบบไร้เสถียรภาพในวันศุกร์ที่ 17 มี.ค. หลังข่าวการฝากเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank )หรือ FRB ไม่ช่วยคลายความวิตกกังวลให้กับนักลงทุน หลังเกิดวิกฤติเอสวีบีและเครดิต สวิส

สัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ธนาคาร 3 แห่งในสหรัฐล้มแบบฉับพลัน ได้แก่ ธนาคารซิลเวอร์เกต แคปิตอล (Silvergate Capatal), ธนาคารซิกเนเจอร์ แบงก์ (Signature Bank) และธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (เอสวีบี) กระพือความวิตกกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอในภาคธนาคาร ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก

เมื่อวานนี้ เอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (SVB Financial Group) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของธนาคารเอสวีบี ยื่นเรื่องต่อศาลนิวยอร์กเพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลาย และฟื้นฟูกิจการภายใต้การกำกับดูแลของศาล กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังธนาคารเอสวีบีตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลางสหรัฐจากผลพวงของภาวะการแห่ถอนเงิน ท่ามกลางความไม่เชื่อมั่นด้านสภาพคล่องของธนาคารแห่งนี้

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน หุ้นกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินระดับภูมิภาคต่างเผชิญแรงเทขายอย่างหนักหน่วง

หุ้น FRB ซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลางในรัฐแคลิฟอร์เนีย ร่วงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในการซื้อขายระหว่างวันในสัปดาห์นี้ ก่อนกลุ่มธนาคารยักษ์ใหญ่ 11 แห่งของสหรัฐประกาศฝากเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในธนาคาร FRB เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธนาคารดังกล่าว โดยธนาคารยักษ์ใหญ่กลุ่มนี้ได้รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป

 

 

ในยุโรป หุ้นเครดิต สวิส ซึ่งเป็นธนาคารระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ ดิ่งลงเหลือเพียงประมาณ 2 ดอลลาร์ต่อหุ้นในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์ก โดยเครดิต สวิสประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มี.ค.ว่า จะกู้เงินสูงถึง 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ส่งผลให้หุ้นเครดิต สวิสพุ่งขึ้นในวันดังกล่าว ก่อนร่วงอีกครั้งในวันต่อมา โดยหุ้นเครดิต สวิสในตลาดนิวยอร์กร่วงลงถึง 33.9% ในปีนี้

 

สำนักข่าวมาร์เกตวอตช์เปิดความเคลื่อนไหวสินทรัพย์ 8 ประเภทในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

  1. กองทุน SPDR S&P Regional Banking ETF

ราคากองทุนรวม SPDR S&P Regional Banking ETF ซึ่งครอบคลุมภาคธนาคารระดับภูมิภาคบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดิ่งลง 24.5% ในการซื้อขายช่วง 7 วันนับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. หนึ่งวันหลังเอสวีบี ประกาศว่าได้ขายพอร์ตหลักทรัพย์ไปที่ราคาขาดทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ จนประชาชนตื่นตระหนกและแห่ถอนเงินฝากออกจากเอสวีบี เป็นผลให้หน่วยงานกำกับดูแลกฎระเบียบสหรัฐสั่งปิดธนาคารเอสวีบีในวันศุกร์ที่ 10 มี.ค.

 

 

กระทรวงการคลังสหรัฐ, บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศในวันอาทิตย์ที่ 12 มี.ค. โดยรับประกันเงินฝากทั้งหมดที่เอสวีบี และซิกเนเจอร์ แบงก์ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในภาคธนาคาร

อย่างไรก็ตาม ราคา SPDR S&P Regional Banking ETF ยังคงร่วงลง 6% เมื่อวานนี้ ส่วนหุ้น FRB ดิ่งลง 32.8% เนื่องจากข่าวฝากเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่อาจคลายความกังวลให้กับนักลงทุน
 

  1. ดัชนีเอสแอนด์พี 500 

แรงเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารฉุดตลาดหุ้นในวงกว้างร่วง ทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลง 2.1% นับตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 1.1% เมื่อวานนี้ แต่ปรับตัวขึ้น 1.4% ในรอบสัปดาห์นี้ และปรับตัวขึ้น 2% ในปีนี้
 

  1. แนสแด็กโชว์ฟอร์มเหนือดาวโจนส์

ดาวโจนส์ มาร์เก็ต ดาต้า (Dow Jones Market Data) ระบุว่า ดัชนีดัชนีแนสแด็ก ทำผลงานเหนือกว่าดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ถึง 4.45% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. 2563 เมื่อเทียบเป็นรายสัปดาห์ โดยการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและชิปเซมิคอนดักเตอร์ช่วยจำกัดความสูญเสียบนดัชนีแนสแด็ก 100 ซึ่งติดตามบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 100 แห่งในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก 

ดัชนีแนสแด็กปิดลบเมื่อวานนี้ แต่ปรับตัวขึ้น 4.4% ในรอบสัปดาห์นี้ ส่วนดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 0.1% ในรอบสัปดาห์นี้
 

  1. พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สัญญา 2 ปี

ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ผันผวนอย่างหนักเช่นเดียวกัน โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สัญญา 2 ปี ปรับตัวลดลง 0.74% ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2530 โดยเวลานั้นเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์จันทร์ทมิฬ ซึ่งเป็นภาวะที่ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างรุนแรง

ขณะเดียวกัน ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ.ของสหรัฐที่ส่งสัญญาณว่าภาวะเงินเฟ้อยังไม่มีทีท่าจะชะลอตัวลง เป็นอีกปัจจัยที่ฉุดผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สัญญา 2 ปี

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สัญญา 2 ปี ซึ่งอ่อนไหวต่อนโยบายการเงิน ปรับตัวลดลง 0.284% สู่ 3.846% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 2565

CME FedWatch ระบุว่า ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 40% ที่เฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า ขณะที่ อีก 60% คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่กรอบ 4.75% - 5%
 

  1. ทองสัญญาส่งมอบเดือนเม.ย. 2566

ดาวโจนส์ มาร์เก็ต ดาต้า ระบุว่า ราคาทองพุ่ง 8.1% ในการซื้อขาย 7 วันที่ผ่านมา โดยปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือนเมื่อวานนี้และปรับขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 3 ปีในรอบสัปดาห์นี้

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารได้บั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุน ส่งผลให้ทองคำพุ่งขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยสัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 50.50 ดอลลาร์ หรือ 2.63% ปิดที่ 1,973.50 ดอลลาร์/ออนซ์เมื่อวานนี้ และปรับตัวขึ้น 5.7% ในรอบสัปดาห์นี้ โดยเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2565 เมื่อเทียบเป็นรายวันและปรับขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 เมื่อเทียบเป็นรายสัปดาห์
 

  1. ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ U.S. Dollar Index จาก ICE ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 1.5% นับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 9 มี.ค. โดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวตามผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ สัญญา 2 ปี
 

  1. น้ำมันดิบสัญญาส่งมอบเดือนเม.ย. 2566

ดาวโจนส์ มาร์เก็ต ดาต้าระบุว่า สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือนเม.ย. ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือนเมื่อวานนี้และปรับตัวลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 9 เดือนเมื่อเทียบเป็นรายสัปดาห์

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.36% ปิดที่ 66.74 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวานนี้ และร่วงลง 13% ในรอบสัปดาห์นี้
 

  1. บิตคอยน์

ราคาบิตคอยน์ ทรุดตัวลงในวันพุธที่ 8 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ซิลเวอร์ เกต แคปิตอล คอร์ป (Silvergate Capital Corp) ระบุว่า ซิลเวอร์เกต แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารในเครือที่มุ่งเน้นไปยังการให้บริการด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะยุติการดำเนินงาน

 

อย่างไรก็ดี คอยน์เดสก์ ระบุว่า หลังธนาคารเอสวีบีและซิกเนเจอร์ แบงก์ล้ม ราคาบิตคอยน์พลิกมาบวก โดยพุ่งขึ้นกว่า 20% ในช่วง 9 รอบการซื้อขายที่ผ่านมา สู่ 26,750.50 ดอลลาร์เมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าบิตคอยน์เป็นทางเลือกของระบบธนาคารแบบดั้งเดิม