มหาเศรษฐี แนะวิธีจัดการ "เงินสด" ช่วงวิกฤติ ถือ "บิตคอยน์" ป้องกันความเสี่ยง
มหาเศรษฐีพันล้าน ทิม เดรเปอร์ แนะนำวิธีจัดการ "เงินสด" ช่วงวิกฤติสำหรับเหล่าธุรกิจ ควรมีเงินสดเพื่อรักษาสภาพคล่องบริษัทจนถึง 6 เดือนข้างหน้า โดยมองว่าการถือ "บิตคอยน์" และ"คริปโท" สามารถป้องกันความเสี่ยงในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
นายทิม เดรเปอร์ (Tim Draper) นักลงทุนระดับมหาเศรษฐีระดับพันล้าน เชื่อว่าธุรกิจต่างๆ ควรถือ “คริปโทเคอร์เรนซี่" อย่างน้อย 2 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นบิตคอยน์ หรือ อัลคอยน์ต่างๆ
เดรเปอร์ ไม่ได้ระบุเปอร์เซ็นต์ในการถือ บิตคอยน์ และอัลคอยน์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม มหาเศรษฐีเชื่อว่า "บิตคอยน์" เป็นการป้องกันความเสี่ยงในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
"บิตคอยน์"ป้องกันความเสี่ยง
มหาเศรษฐีกล่าวถึงการล่มสลายของธนาคาร Silicon Valley และ Silvergate แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการวางแผนการฉุกเฉิน เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจนั้นๆมีเงินสดอยู่ในมือเสมอ เพื่อให้สามารถประคองบริษัทและพนักงานให้ดำเนินต่อไปได้ ซึ่งธุรกิจจำเป็นต้องกระจายอำนาจเพื่อให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
การล่มสลายของธนาคารดังกล่าวจะมีแนวโน้มไปในทางที่แย่มากขึ้น หากรัฐบาลยังคงพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่ตามมา
รวมทั้งการครอบครองของรัฐ และการให้ความช่วยเหลือของผู้ให้กู้ หรือนายทุนหลายแห่งที่กำลังเข้ามาโอบอุ้มสถานการณ์เอาไว้ กำลังทำให้รัฐบาลอ่อนแอต่อการล้มละลาย ซึ่งบิตคอยน์เป็นหนึ่งวิธีแก้ปัญหาที่มีความเป็นไปได้
“บิตคอยน์ เป็นตัวป้องกันความเสี่ยงจาก 'โดมิโน' เอฟเฟ็กซ์ธนาคารล้ม ที่เกิดขึ้นในธนาคารและการกำกับดูแลที่ควบคุมมากเกินไป” เดรเปอร์ระบุ
พร้อมเสริมว่า "คริปโท" เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการถือครองเงินสดอีกรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากสามารถถือครองระยะยาวและพร้อมขายในช่วงเวลาวิกฤต
แนะธุรกิจจัดการ"เงินสด"
การถือครองเงินสดในรูปแบบ"สกุลเงินดิจิทัล"เป็นหนึ่งในคำแนะนำมากมายที่เดรเปอร์ต้องการแบ่งปันเกี่ยวกับวิธีการการจัดการ"เงินสด"สำหรับธุรกิจที่ต้องต่อสู้กับการล่มสลายของธนาคารหลายแห่งในสหรัฐในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยแนะนำให้ธุรกิจต่างๆ กระจายความเสี่ยงและถือเงินสดระยะสั้นไว้ในธนาคาร 2 แห่ง คือธนาคารในประเทศ 1 แห่งและทั่วโลก 1 แห่ง เขากล่าวว่าจำนวนเงินควรจะเพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างน้อย 6 เดือน
“โดยปกติแล้วแผนกการเงินของบริษัทส่วนใหญ่จะมีไว้เพื่อรักษาเงินสด แต่นี่ไม่ใช่เวลาปกติ”
และเน้นย้ำว่า ธุรกิจต่างๆ จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกค้าและซัพพลายเออร์ที่ดำเนินธุรกิจด้วยนั้นมีสภาพคล่องที่ดีและจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่คาดไม่ถึง ควรมีการพูดคุยเจรจาอย่าง "ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์"
รวมทั้งควรระมัดระวังปัญหาด้านเทคโนโลยี ในการถูกแฮ็กและโจมตีเกี่ยวกับโปรโตคอล และควรรับวางแผนว่าจะรับมืออย่างไรในกรณีที่เกิดขึ้น