‘บิทคับ’เปิดแผนดันรายได้ปีนี้โต 40% รุกขยายฐานลูกค้าแตะ 3 ล้านราย
สำหรับปี 2565 ถือเป็นตลาดขาลงของ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาด ทั้งในเรื่องของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลและผลประกอบการของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล จากที่กรุงเทพธุรกิจได้รวบรวมผลประกอบการของผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2565
Key Point:
- บิทคับ ตั้งเป้า รายได้-กำไร ปี 65 เติบโต 20-40%
- คาดตลาดคริปโทขาขึ้น ดันผู้ใช้งานแตะ 3 ล้านราย
- ดึง AI พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สร้างความปลอดภัยหนาแน่น ตอบรับลูกค้า-หน่วยงานกำกับดูแล
จากงบการเงินที่เผยแพร่โดยบริษัทต่าง ๆ พบว่าหลายบริษัทมีรายได้และกำไรที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับตลาดขาขึ้นในปีงบประมาณ 2564 แต่อย่างไรก็ตาม ‘บิทคับ’ ถือเป็น ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังสามารถดำเนินกิจการในตลาดได้อย่างไม่‘ขาดทุน’
โดย ‘บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด’ หรือ Bitkub เอ็กซ์เชนจ์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทยได้เปิดเผยงบการเงินปี 2565 เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2566 พบว่าบริษัทมีรายได้ 2.8 พันล้านบาท ลดลง 82.1% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 5.5 พันล้านบาท และมีกำไร 341 ล้านบาท ลดลง 86.6% จากปี 2564 ที่มีกำไร 2.5 พันล้านบาท
โดยมีเงินฝากและสินทรัพย์ดิจิทัลในนามบริษัทเพื่อลูกค้า 3.04 หมื่นล้านบาท ลดลง 65.1% จากปี 64 ที่มีปริมาณ 8.72 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นสินทรัพย์หมุนเวียนที่สะท้อนถึงภาพรวมมูลค่าการซื้อขายและธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในบิทคับเอ็กซ์เชนจ์
ตั้งเป้าเติบโต 40%
อรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับออนไลน์ จำกัด เปิดเผยกับทาง ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า ในปี 2566 บริษัทตั้งเป้ากำไรและรายได้จะเติบโต 20-40% และเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนบนแพลตฟอร์มอีก 1 ล้านรายเป็นทั้งหมด 3 ล้านราย เนื่องจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2565
ดังนั้น จึงทำให้บริษัทมีรายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของบริษัทสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันรายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายนั้นถือเป็นรายได้หลักของบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 99% ของรายได้รวม ซึ่งบริษัทไม่มีนโยบายการนำสินทรัพย์ของลูกค้าไปลงทุนต่อแต่อย่างใด
“คาดว่าตลาดขาขึ้นจะมีผู้ใช้งานมากขึ้นจากครั้งก่อนหลายเท่าตัว และที่สำคัญบริษัทมีการลงทุนในการเสริมความแข็งแกร่งทางด้านระบบรักษาความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญในปีที่ผ่านมา เพราะเราเชื่อว่า Cyber Security จะมาเป็นส่วนสำคัญและเป็นสิ่งที่ทุกคนพูดถึงอย่างมากในอนาคตอันใกล้ทั้งในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและอุตสาหกรรมอื่นๆ”
อย่างไรก็ตามด้วยภาวะความผันผวนในอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้บริษัทอาจมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายรายได้และกำไรในอนาคตได้
ดึง AI พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
อรรถกฤต กล่าวว่า บริษัทมีแผนนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence หรือ AI มาพัฒนาต่อยอดในด้านการดูแลลูกค้า หรือการตอบบทสนทนาของลูกค้าเบื้องต้นได้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างการประเมินความเป็นไปได้ในการนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้
โดยเริ่มจากการนำข้อมูล และขั้นตอนการทำงานภายในมาให้ AI เรียนรู้ เพื่อที่จะตรวจสอบการทำงานของฝ่ายปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพและถูกต้องมากยิ่งขึ้น โดยหากได้ผลที่ดีในอนาคต มีความเป็นไปได้ในการนำระบบ AI เข้ามาใช้งานจริงเพื่อให้ลูกค้าได้คำตอบที่รวดเร็วโดยไม่ต้องรอเข้าคิวเพื่อคุยกับพนักงาน
บิทคับมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบรับตลาด นอกจากการประเมินเพื่อนำ AI มาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานให้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ปัจจุบันบริษัทมีการพัฒนาระบบงานสำคัญอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบจับคู่การซื้อขาย ระบบยืนยันตัวตน และระบบฝากถอนสินทรัพย์ลูกค้าให้มีความสามารถในการรองรับปริมาณการใช้งานในอนาคตได้
ปี 65 มี 2 ปัจจัยกดดัน
สำหรับ ผลดำเนินงานปี 2565 นั้น บริษัทมีกำไรต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ แต่เมื่อพิจารณาจากสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ณ เวลานั้นบริษัทก็ต้องยอมรับต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสาเหตุหลักจากเศรษฐกิจที่เป็นขาลงและเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งส่งผลให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมีการลดตัวลง โดยราคาสินทรัพย์ส่วนใหญ่มีการปรับราคาลงอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรตามการปรับตัวลดลงดังกล่าวยังคงอยู่ในวงจรปกติของสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว
นอกจากนี้เกิดจากต้นทุนการประกอบธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ รวมถึงการลงทุนในระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยของแพลตฟอร์มที่เข้มแข็งขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมนี้
เสริมแกร่งระบบ-บุคคลากร
โดยในระหว่างปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทถูกทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปรับรวมทั้งสิ้น 4 ครั้ง เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 36 ล้านบาท
สำหรับที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างและเสริมบุคคลากรในหลายส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลบริษัท โดยมีการจัดโครงสร้างบริษัทให้เป็นในรูปแบบ 3-Lines of Defense หลักการควบคุมดูแลแบบเป็นลำดับขั้นให้เป็นไปตามกฎระเบียบขั้นตอนปฎิบัติงาน ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลของสถาบันการเงิน รวมทั้งปัจจุบันบริษัทมีทีมงาน Compliance Risk Security ที่แข็งแกร่งเพื่อคอยตรวจสอบและบริหารความเสี่ยงบริษัทอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบรับกับความคาดหวังของทางหน่วยงานกำกับดูแล