Bitcoin กับการยื่นขอเปิด Bitcoin ETF ของ BlackRock
Bitcoin กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหลังจากที่ BlackRock ได้ยื่นขอเปิด Bitcoin ETF ภายใต้ชื่อ “iShares Bitcoin Trust” กับทางกลต. สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2566 ที่ผ่านมา
สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการที่เกี่ยวกับการเงินการลงทุนก็คงจะรู้จัก BlackRock กันเป็นอย่างดีเพราะเป็นบริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สินภายใต้การบริหารกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและเป็นเจ้าของแบรนด์ “iShares” ที่เป็นแบรนด์ ETF ที่มีชื่อเสียงและมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในโลก
การเคลื่อนไหวของ BlackRock ในครั้งนี้ได้แสดงถึงมุมมองของพวกเขาต่อ Bitcoin ได้อย่างดีว่าพวกเขาคิดเห็นและมอง Bitcoin อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องเป็นในทิศทางบวกเพราะ BlackRock คงไม่ยื่นขอเปิด ETF โดยไม่ได้ยอมรับและเข้าใจสินทรัพย์นั้นอย่างแท้จริง อีกทั้งพวกเขายังมีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของตัวเองเป็นประกันอยู่ด้วย
ในช่วงแรกหลายคนอาจจะมองว่าการยื่นขอเปิด Bitcoin ETF เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของ BlackRock ที่ CEO อาจไม่ได้เห็นด้วยหรือเข้ามายุ่งเกี่ยวเท่าไร
อย่างในกรณีของ Onyx ที่เป็นหนึ่งใน Business Unit ของ JP Morgan ที่ดูเรื่องการต่อยอดเทคโนโลยี Blockchain และหาโอกาสใน Digital Asset แต่ Jamie Dimon ที่เป็น CEO นั้นไม่เคยพูดถึงหรือให้ความเห็นเชิงบวกต่อ Bitcoin หรือ Digital Asset เลย
แต่ในกรณีของ BlackRock นั้นเป็นไปในทางกลับกัน เนื่องจาก Larry Fink ผู้เป็น CEO ของ BlackRock ได้เข้ามายืนยันมุมมองของเขาต่อ Bitcoin ในรายการของ FOX Business เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2566 ที่ผ่านมา
โดย Larry ได้กล่าวว่า Bitcoin เป็น International Asset และเป็นทางเลือกของสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อได้ และยอมรับว่ามุมมองที่เขามองเมื่อปี2560 ว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่เป็นตัวชี้วัดการฟอกเงินนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว
การยื่น Bitcoin ETF ของ BlackRock จะทำให้มุมมองของผู้คนต่อ Bitcoin เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยเข้ามาและออกจากตลาดไปด้วยความไม่เข้าใจและคนที่ไม่เคยสนใจ Bitcoin มาก่อน โดยการเคลื่อนไหวครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะมีผลกระทบต่อ Sentiment ของตลาดมากกว่าตอน Microstrategy และ Tesla เข้าซื้อ Bitcoin เสียอีก
อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจของ iShares by BlackRock ก็คือ สถิติความสำเร็จของการยื่น ETF ต่อกลต. ที่ยื่นไปทั้งหมด 576 ครั้ง มีไม่ผ่านแค่ครั้งเดียว ซึ่งคิดเป็นอัตราความสำเร็จถึง 99.8% เลยทีเดียว และด้วยชื่อเสียงของ BlackRock รวมถึงอำนาจการต่อรองที่ค่อนข้างมาก ทำให้การยื่นในครั้งนี้ก็มีแนวโน้มสูงว่าจะผ่านได้ไม่ยาก
ทำให้หลายบริษัทที่เคยถูกปฏิเสธการยื่นขอเปิด Bitcoin ETF จาก กลต. มาก่อนหน้านี้ อย่างเช่น BitWise, WisdomTree, Invesco, VanEck และ Grayscale ได้รีบกลับมายื่นใหม่เพราะหาก กลต. ให้ทาง BlackRock ผ่านก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการยื่นของบริษัทอื่นๆ
นอกจากนี้ภายหลังการให้สัมภาษณ์ของ Larry Fink ก็มี Jay Clayton ที่เป็นอดีต SEC Chairman ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC และมีการพูดถึงว่า SEC ยากที่จะปฏิเสธการขอเปิด Bitcoin ETF หากสามารถชี้ให้ SEC เห็นได้ว่า ตลาด Spot Bitcoin ETF ก็มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกับตลาด Futures
รวมถึงการเลือกนำเสนอบทความและข่าวของ Forbes ที่มีแต่สิ่งที่ส่งผลเชิงบวกให้กับ Bitcoin ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ Bitcoin ปล่อยมลพิษลดลง, ช่วยประชาชนในประเทศซูดานหลบหนีสงคราม หรือพวกผู้ก่อการร้ายไม่ได้ใช้ Bitcoin ในการฟอกเงินแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนบทความเกี่ยวกับ Bitcoin ในเชิงบวกจะไม่ค่อยถูกอนุมัติให้เผยแพร่เท่าไรนัก
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า นักลงทุนสถาบัน, ผู้จัดการกองทุนระดับโลก, อดีต SEC Chairman หรือสื่อเองก็เริ่มมีมุมมองที่เปลี่ยนไปในทางบวกมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก
ประกอบกับแนวโน้มของธนาคารกลางสหรัฐที่อาจมีการผ่อนคลายในปี 2567, เหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นในปีเดียวกันและช่วงดังกล่าวอาจเป็นข่วงที่ Bitcoin ETF ของ BlackRock ได้รับการอนุมัติด้วย ทำให้ปี 2568 นั้นปีที่น่าจับตามองอย่างมากสำหรับ Bitcoin และตลาดคริปโทฯ ในภาพรวม