แฮกเกอร์ฮุบเงินกระดาน HTX ของเจ้าพ่อคริปโท 4 ครั้งรวด สูญกว่า 208 ล้านดอลลาร์
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเว็บเทรด HTX เดิมชื่อ Huobi Global และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ “จัสติน ซัน” (Justin Sun ) ถูกแฮกเกอร์เจาะถึง 4 ครั้ง สูญเสียมูลค่ากว่า 208 ดอลลาร์ บริษัทเตรียมชดเชยความเสียหายเต็มที่ นักวิเคราะห์มองว่ามีการรั่วไหลของ”ไพรเวทคีย์”
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเว็บเทรด HTX เดิมชื่อ Huobi Global และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ “จัสติน ซัน” (Justin Sun ) ถูกแฮกถึง 4 ครั้ง โดยบริษัทสัญญาว่าจะ “ชดเชยความสูญเสียที่เกิดจากการโจมตีครั้งนี้อย่างเต็มที่ และรับประกันความปลอดภัยของเงินทุนของผู้ใช้ 100%”
นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า “จำนวนเงินที่สูญเสียไปโดย Huobi HTX ในครั้งนี้คิดเป็นจำนวนน้อยมากของเงินทุนทั้งหมดของแพลตฟอร์ม” และ “การดำเนินงานปกติ” ของ HTX ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว
โดยครั้งที่ 1 และใหญ่ที่สุดคือการการแฮกแพลตฟอร์ม Poloniex ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 10 พ.ย. และ HTX ถูกแฮก 2 ครั้ง นับตั้งแต่แพลตฟอร์มรีแบรนด์จาก Huobi เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566 ซึ่ง การแฮ็ก HTX ครั้งแรกเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากการรีแบรนด์ โดยผู้โจมตีขโมยเงินดิจิทัลไปเกือบ 8 ล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566
ในการแฮ็กครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 มีรายงานว่า HTX สูญเสียเงิน 13.6 ล้านดอลลาร์ จากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของเว็ปเทรด HTX, Tron และ BitTorrent ในวงกว้าง รวมทั้งแฮกเกอร์ยังได้มุ่งเน้นไปที่แพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซันรวมถึงเว็บเทรด Poloniex ที่ซันเป็นเจ้าของ และ HTX Eco Chain (HECO) bridge
โดย HTX Eco Chain (HECO) bridge ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างHTX ไปยังเครือข่ายอื่น ๆ เช่น Ethereum ประสบปัญหาครั้งใหญ่เช่นกัน โดยแฮ็กเกอร์ได้เงินไปอย่างน้อย86.6 ล้านดอลลาร์
จากการโดนแฮกทั้ง 4 ครั้งในช่วงสองเดือนที่ผ่านมามีความเสียหายรวมกันประมาณ 208 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งซันจะสัญญาว่าจะชดเชยความสูญเสียสำหรับเหตุการณ์ทั้ง 4 เหตุการณ์ แต่ชุมชนคริปโทบางคนได้เรียกร้องให้อยู่ห่าง ๆ จากแพลตฟอร์ม Poloniex และ HTX โดยมีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นจากการถูกแฮ็ก
เห็นได้ชัดเจนว่าการโจมตีทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือโครงการของ จัสติน ซัน โดยสันนิษฐานว่าการแฮ็กที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจเกิดจาก “การรั่วไหลข้อมูลของคนวงใน” นั้นคือการรั่วไหลของ private key ดังนั้นโครงการเหล่านี้ควรปรับปรุงขั้นตอนการจัดเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเช่น private key และหากไม่จำเป็นต้องใช้สภาพคล่องให้เก็บเงินทุนส่วนหนึ่งไว้ใน cold wallet”
อ้างอิง cointelegraph