MAXBIT ลุยตลาดคริปโทฯ เชื่อม 'แมกซ์เวิลด์' ขยายลูกค้ากับพันธมิตร PTG
“ขอเป็นที่ 2 ในตลาด แต่เป็นที่ 1 ในใจคุณ...อีกครั้ง” สโลแกนของ MAXBIT โบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลรายใหม่ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เข้าถือหุ้น 35% ร่วมกับบริษัท ยูนิท จำกัด และบริษัท สเปียร์เฮด แล็บส์ จำกัด
คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่คาดการณ์ว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่จะก้าวเข้าสู่ “ขาขึ้น” อีกครั้ง
“ปกเขตร รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด หรือ MAXBIT เปิดเผยกับทาง”กรุงเทพธุรกิจ”ว่า บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบการเป็นนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Broker) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ “แมกซ์บิท” ใช้ระยะเวลากว่า 4 ปี ในการเริ่มศึกษาตลาด “คริปโทเคอร์เรนซี” ร่วมกับทาง PTG โดยมีการมอนิเตอร์วอลุ่มปริมาณการเทรดและอัตราการเติบโตของตลาดคริปโทฯในช่วงปี 2563 ซึ่งพบว่าสินทรัพย์ที่หลายคนมองว่าไม่สามารถจับต้องได้มีอัตราการเติบโตเร็วกว่าตลาดหุ้นไทยถึง 10 เท่า ทำให้ PTG มองเห็นถึงแนวโน้มตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต
รวมทั้ง “ปกเขตร” มีมุมมองความสนใจในคริปโทฯ จากการเป็นนักเทรดสายเลือดบล็อกเชนในยุคแรกเริ่ม ถือว่าใช้เวลาในการศึกษาตลาดและพิสูจน์ตลาดสินทรัพย์ใหม่ว่าเป็นไปได้แค่ไหน หลังจัดตั้งบริษัทแมกซ์บิทใช้เวลากว่า 2 ปีครึ่ง ตั้งแต่การยื่นขอใบอนุญาตจนถึงวันที่เริ่มธุรกิจอย่างเป็นทางการในวันนี้
สำหรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล แบ่งเป็น 2 ใบอนุญาต ได้แก่ 1. ใบอนุญาตนายหน้าสินทรัพย์นายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและ 2. ใบอนุญาตนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล โดยสามารถซื้อขายได้ทั้งโทเคนดิจิทัลและคริปโทเคอเรนซี
Maxbit ผ่านการตรวจสอบความพร้อมของระบบงานก่อนเริ่มประกอบธุรกิจ หลังจากที่สำนักงาน ก.ล.ต.ได้เข้ามาตรวจสอบระบบและทำงานร่วมกับกระดานเทรดตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์เต็ม ซึ่งสามารถเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบได้แล้ว แต่เพื่อความมั่นใจในระบบรองรับลูกค้า แมกซ์บิทจะเปิดกระดานเทรดแบบ Closed Beta ในวงจำกัด 1,000 คน ในช่วงปลายเดือนธ.ค. 2566 ไปจนถึงช่วงไตรมาส 1 ของปี 2567 เพื่อเตรียมการเปิดทดสอบโดยผู้ใช้จริง โดย Closed Beta ที่จะเปิดบริการนี้ จะเปิดสำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนและทำการกรอกรหัส invitation code เท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ทางช่องทาง official social media ของ Maxbit
เป้าหมายการเป็น “ที่สอง” ของตลาดท่ามกลางการแข่งขันตลาดคริปโทฯไทย ที่ต้องยอมรับว่ามีความเข้มข้น ทั้งเจ้าตลาดที่ครองสัดส่วนมาเก็ตแชร์กว่า 90% และเจ้าใหญ่ระดับโลกลงมาแข่งขันในตลาดคริปโทไทย
อย่างไรก็ดีแมกซ์บิทมองว่าไม่ได้มีความน่ากลัวแต่เป็นความ “ท้าทาย” เพราะแมกซ์บิทคือผู้ให้บริการที่เริ่มต้นจากความเชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะแม้แต่สถาบันการเงินอย่างธนาคารลงมาเล่นในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลพบว่าปริมาณการซื้อขายไม่ได้เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว
โดย 4 จุดแข็งของแมกซ์บิทภายใต้ระบบนิเวศ(Ecosystem) พร้อมรองรับการใช้งานผ่าน “Max World” อย่างแรกคือ 1. แมกซ์บิทเตรียมพร้อมงบประมาณในการทำการตลาดเพื่อต่อสู่กับคู่แข่งในตลาด 2.มีซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นภายในประเทศ และมีระบบการจัดการความคิดเห็นของลูกค้า (Customer Feedback)เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขการทำงานให้ตอบโจทย์ผู้ใช้จริง
3. ข้อได้เปรียบของ “นายหน้า (Broker)” ในการจัดการสภาพคล่อง ในการเป็นกระดานกลางเพื่อจับคู่การซื้อขายกับกระดานเทรดคู่ค้าในต่างประเทศ เช่น คอยน์เบส(Coinbase) และ ผู้ให้บริการสภาพคล่อง B2C2 ในประเทศอังกฤษ ที่มีการคัดกรองอย่างละเอียดทั้งความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย
และ 4. ระบบนิเวศ (Ecosystem) ของ Max World จากฐานลูกค้าที่ไม่ได้เริ่มต้นจาก”ศูนย์” จากตอนนี้ซึ่งมีผู้ใช้แมกซ์การ์ดอยู่ราว 19 ล้านคน ที่สามารถต่อยอดมาเป็นลูกค้าของแมกซ์บิทได้ โดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการคัดกรองกลุ่มเป้าหมายหลักได้ 1.5 ล้านคนโดยประมาณ คือ กลุ่มอายุในช่วงวัยทำงาน เป็นพนักงานออฟฟิศที่อยู่ในหัวเมืองหลักเช่น กรุงเทพ หาดใหญ่ เชียงใหม่ ภูเก็ต
การที่มีระบบนิเวศ (Ecosystem) ในการใช้งานรองรับที่มากกว่ากระดานเทรดคริปโท กล่าวคือ Maxbit มีแผนการที่จะมอบคะแนน Max Point ให้แก่ลูกค้า เมื่อลูกค้าที่เข้ามาซื้อขายโทเคนและคริปโทผ่านแต้มแมกซ์บิท (Max Card Point)เพื่อสามารถไปใช้ในการแลกซื้อสินค้าใน แมกซ์มาร์ท ( Max Mart), ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และเติมน้ำมัน เป็นต้น ทำให้แมกซ์บิทตั้งเป้าว่าภายในปีแรกสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานได้ถึง 3 แสนรายโดยประมาณ และครองส่วนแบ่งตลาดของตลาดคริปโทในประเทศได้ถึง 10% และภายใน 3 ปีจะมีมาร์เก็ตแชร์ราว 30-35%
คาดว่าในช่วงปีแรกที่เปิดให้บริการยังไม่มีการขอ ใบอนุญาตเพิ่ม แต่จะมีการพัฒนาฟิวเจอร์ฟังก์ชันให้เหมาะสมกับการเป็นโบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลทำให้ในระยะยาวสามารถช่วยลดต้นทุนและเสริมให้ธุรกิจเติบโตมีความสนใจมากขึ้น
ด้านคู่แข่งที่มีจำนวนมากแต่เมื่อตลาดมีการพัฒนาไปอีก 2-3 ปีตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะไม่ต่างอะไรกับตลาดสินทรัพย์ดั้งเดิม คือเจ้าเล็กหายไปเหลือแต่เจ้าใหญ่ซึ่งมั่นใจว่า แมกซ์บิท คือหนึ่งในกระดานที่สามารถอยู่รอดได้
แม้ว่าในขณะนี้ ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านช่วงต่ำสุดของตลาดมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นมาจนเข้าใกล้จุดสูงสุดของตลาดได้อีกครั้ง
“ หากย้อนไปในช่วงที่ตลาดคริปโทฯได้รับความสนใจ ไทยมีวอลุ่มเทรดราว 9 หมื่นล้านบาท/เดือน แปลว่าหนึ่งปีมีวอลุ่มเทรดเกินล้านล้านบาท แต่วอลุ่มลดลงในปีถัดมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันที่ระดับ 3 หมื่นล้านบาท/เดือน ซึ่งลดลงถึง 3 เท่า”
”ปกเขตร” เป็นหนึ่งในผู้บริหารที่เชื่อใน “สถิติ” แม้ว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่มาก มีอายุเพียงแค่ 10 กว่าปี เมื่อเทียบกับทองคำ และสินทรัพย์ดั้งเดิมอื่นๆ ที่มีอายุกว่า 100 ปี ในทางกลับกันปรากฎการณ์ Bitcoin Having ในปีหน้าจะเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า Bull Bear Cycle ของตลาดคริปโทที่จะเปลี่ยนแปลงทุกๆ 4 ปี ที่จะมีการปรับตัวลดลงและทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ในปี 2567 หรือไม่ และมองว่าในขาขึ้นครั้งถัดไปตลาดคริปโทจะมีความหวือหวาน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมา
ตลาดคริปโทฯ ทุกวันนี้ยังมี “ของปลอม” อยู่เยอะ และในทุกๆไซเคิลของคริปโทฯ มีเหรียญใหม่ที่เกิดขึ้นและหายไป ซึ่งทุกเหรียญมีความเสี่ยง ทุกอัลคอยน์มีความเสี่ยง แต่บิตคอยน์และอีเธอเรี่ยมมีความเสี่ยงน้อยกว่า