Token X ปักธง ‘ปีทอง’ฟีเจอร์เพื่อการลงทุน พลักดันความชัดเจนเกณฑ์ภาษี
ภาพตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าผ่านความท้าทาย ซึ่งในปี 2567 มีสัญญาณสำคัญในตลาดคริปโทเคอรร์เรนซี่ ทั้ง Bitcoin Having และ Spot Bitcoin ETF ที่อาจเป็น “จุดเริ่มต้น” เท่านั้น ทำให้“โทเคนดิจิทัล”หนึ่งในประเภทของสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับอานิสงค์เช่นกัน
บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัดหรือ“Token X” ผู้ให้บริการธุรกิจ ICO Portal บริษัทภายใต้ “กลุ่ม เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)” หรือ SCBX ย้ำเป้าหมายที่จะทำภารกิจสำคัญเพื่อเป็น Tokenization Success Partner ให้กับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจและมุ่งหวังที่จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจในประเทศไทย ให้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“จิตตินันท์ ชาติสีหราช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Token X เปิดเผยกับทาง “กรุงเทพธุรกิจ” ยอมรับว่าตลาดโทเคนดิจิทัลในประเทศไทยนั้นยังถือว่า “ใหม่มาก” และนักลงทุนยังไม่เข้าใจถึงรูปแบบการลงทุนที่ชัดเจน เพราะยังไม่มี “ยูสเคส” ที่มากพอจนทำให้นักลงทุนเห็นถึงประโยชน์ของการระดมทุนในรูปแบบโทเคนดิจิทัล และมองว่าปีนี้เป็น “ปีทอง” สำหรับการเติมต้นตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเการปล่อยโปรเจกต์ที่อยู่ในแผนงานในช่วงครึ่งปีหลัง จากบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และคริปโทฯที่ยังไม่สู้ดีนักจนกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปด้วย
ในฐานะดำเนินธุรกิจด้านนี้เป็นหน้าที่ที่จะต้องสร้างความรู้และความเข้าใจให้กับนักลงทุนด้วย และคัดรองรูปแบบการลงทุนที่หลากหลายได้ทุกรูปแบบธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม จากทุกขนาดธุรกิจทั้ง เล็ก กลาง หรือใหญ่ ที่เข้ามาปรึกษากว่า 20 โปรเจกต์ เพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่า โปรเจกต์ต่างๆที่ออกมาจะมีความแข็งแรงในระยะยาว ไม่ใช่แค่ระดมทุนเสร็จสิ้นแล้วหายไป
ตลอดระยะเวลา 5 ปี หลังจากมี พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลทำให้เกิดยูสเคสในตลาดโทเคนดิจิทัลทั้งหมด 3 โทเคน นั้นคือ
1.โทเคนเรียลเอ็กซ์ 2.สิริฮับโทเคน และ 3.เดสตินี่โทเคน ซึ่งนับว่ายังน้อยมากทั้งในฝั่งของผู้ออกและนักลงทุนในแง่ของรูปแบบการลงทุนหากเทียบกับตลาดการลงทุนอื่นๆ เช่นหุ้นหรือตราสารหนี้
ขณะเดียวกันโปรเจกต์ RealX Token โทเดนดิจิทัลที่มีการอ้างอิงสินทรัพย์ที่มีคอนโดมิเนียมเป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Condo-Backed Token)ครั้งแรกในประเทศไทย และนับว่ามีมูลค่าการระดมทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งอยู่ในการดูแลของ Token X ในฐานะ ICO Portal ถือเป็น ก้าวแรกที่ทำให้นักลงทุนเห็นประโยชน์ของโทเคนที่ชัดเจน นั่นคือการลงทุนแบบแตกหน่วยย่อย และทำความเข้าใจเพียงแค่ธุรกิจหรือโปรเจกต์เดียวเท่านั้น
รวมทั้งการมีตลาดรองที่สามารถซื้อขายโทเคนเหล่านี้เมื่อต้องการเปลี่ยนหลักทรัพย์เป็นเงินสดได้ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีสภาพคล่องที่หวือหวา แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้คือ ไม่ว่าราคาของโทเคนในตลาดรองจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนจะมีการ “การันตีผลตอบแทน” ตามไฟลลิ่งที่ได้แจ้งต่อนักลงทุน ซึ่งถ้าหากว่าสภาพตลาดอังหาริมทรัพย์หรือตลาดคริปโทดีขึ้น ก็จะส่งผลต่อโทเคนในอนาคตอย่างแน่นอน
ที่น่าสนใจคือ โทเคนดิจิทัลเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการลงทุนที่ตอบโจทย์ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการ “เอาชนะเงินเฟ้อ” และ “ต้องการกระจายความเสี่ยง” สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากราคามีการรวมปัจจัยความเสี่ยงต่างๆเข้าไปแล้ว และยังตลาดรองรองรับพร้อมกับรีเทิร์นที่ชัดเจน
อนาคตของโทเคนดิจิทัลนับว่าจะเติบโตไปพร้อมกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญและต้องการขับเคลื่อนประเทศให้สอดคล้องกับเทรนด์โลกนั่นคือการผลักดัน “เทรนด์ ESG” ให้เกิดขึ้นในระบบเกี่ยวกับการโทเคนไนท์คาร์บอนเครดิตไปจนถึง“ซอฟพาวเวอร์”ในรูปแบบของงานอาร์ต ที่สามารถนำผลงานศิลปินหรือรายได้ของศิลปินมาสร้างสรรค์และออกมาเป็นการโทเคนไนซ์ คล้ายกับ NFT ประเภทหนึ่ง
ขณะเดียวกัน“คาร์บอนเครดิต”เป็นเรื่องใหม่มากในตลาดไทย พอๆกับโทเคนดิจิทัล และต้องพัฒนากฎระเบียบให้มีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งกฎเกณฑ์พื้นฐานและข้อจำกัดต่างๆด้านการจัดการคาร์บอนด์ที่กำลังจะจัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่กรีนซัพพลายเชนนั้นต้องใช้เงินทุนใหม่ในการพัฒนาโปรเจกต์ ซึ่งโทเคนดิจิทัลน่าจะตอบโจทย์ได้ดี
“หนึ่งในนั้นคือดีลร่วมกับบริษัท ดิทโต้ ในโปรเจกต์เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต ที่หวังว่าจะได้เห็นในปีนี้ แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นนามธรรม เพราะไม่มีโอกาสได้เห็นยูสเคสจริงๆ แต่เชื่อว่าในโอกาสที่ใช่ ในตลาดที่พร้อม ทุกคนจะเห็นและเข้าใจมากขึ้น”
เรียกว่าปีนี้ธุรกิจ ICO Portal ได้รับความสนใจจากธุรกิจแบงก์และธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะลงมาเล่นในเกมนี้มากขึ้นแต่ “จิตตินันท์” กลับมาว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการกระตุ้นให้ตลาดมีภาพชัดเจนในตลาดทุนไทย เพราะทุกคนที่เข้าทำให้การแข่งขันมากขึ้นและจะช่วยกันผลักดันให้ตลาดนี้เป็นที่รู้จักและเข้าใจของนักลงทุนมากขึ้น
ตอนนี้ Token X กำลังซุ่มพัฒนาแอปพลิเคชัน Token Xให้มีฟีเจอร์ที่คลอมคลุม ตอบโจทย์การลงทุนในโลกของโทเคนดิจิทัลมากที่สุดที่ไม่ใช่พื้นที่ในการลงทุนเท่านั้น แต่ต้องรองรับยูสเคสใหม่ๆที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย ซึ่งการที่เป็นบริษัทลูกภายใต้กลุ่มอินโนเวสเอ็กซ์ทำให้จะต้องคำนึงความปลอดภัยและอยู่ในกฏเกณฑ์ของสำนักงานก.ล.ต.และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ด้วย
ลดข้อจำกัดพลักดันเกณฑ์ - ภาษี ใกล้เคียงหุ้น-ตราสารหนี้
โดยเชื่อว่าในปีนี้ตลาดโทเคนดิจิทัลไทยจะได้เห็นอะไรใหม่ๆอย่างแน่นอน ทั้งการจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีความหลากหลายตามเป้าหมายที่ต้องการสร้างยูสเคสในตลาด เรียกได้ว่าเป็น “ชาเลนจ์” ในการสร้าง Learning Curve ไปพร้อมกับธีมของสำนักงานคณะก.ล.ต. ที่ให้ความสนับสนุนเรื่อง “กรีน เรียลเอสเตท อินฟาสรักเจอร์ซอฟต์พาวเวอร์” ซึ่งทางก.ล.ต.ก็มีความพยายามอย่างชัดเจน ในการเร่งกระบวนการทุกอย่างให้มีบทสรุปที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว
อีกสิ่งที่ต้องการความชัดเจน คือ “ภาษี” ของนักลงทุนโทเคนดิจิทัลที่หวังว่าได้ข่าวดีในไม่ช้าว่าจะได้รับการดูแลในเกณฑ์เดียวกับหลักทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น หรือ ตราสารหนี้ และการดึงศักยภาพของเทคโนโลยีที่เอามาใช้ในระบบการเงินอย่าง “บล็อกเชน”ที่ใครหลายคนมักพูดว่า สามารถลดต้นทุนต่างๆได้มากมาย แต่มีองค์ประกอบบางอย่างที่ไปดิสรัปต์รูปแบบการทำงานเดิมๆที่ทำกันมานาน ซึ่งถ้าเอาบล็อกเชนมาใช้กับเรื่องไฟแนนซ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เชื่อว่าจะเกิดผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กับทุกคน ดังนั้นแล้ว “What can be tokenized, will be tokenized”