จับตา! แรงเหวี่ยง 'คริปโทฯ' ครั้งใหญ่ หลัง ETH ETF อนุมัติ - เลือกตั้งสหรัฐ หนุนบิตคอยน์
จับตา! แรงเหวี่ยง 'คริปโทเคอร์เรนซี' ครั้งใหญ่ หลัง Spot Ethereum ETF อนุมัติร่างกฎหมาย ลุ้นเลือกตั้งสหรัฐ 'ทรัมป์' จับกลุ่มฐานเสียงคนรุ่นใหม่ หนุนบิตคอยน์
คริปโทเคอร์เรนซี ปีนี้ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่กำลังมาแรง ล่าสุดได้มีการอนุมัติจัดตั้งกองทุนรวม Spot Ethereum ETF เป็นเหรียญที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็นเหรียญที่ใหญ่รองเป็นอันดับ 2 จาก Bitcoin แต่ทว่าเมื่อมีการอนุมัติแล้ว กลับไม่ค่อยคึกคักเท่ากับช่วง ต้นปีที่ได้มีการอนุมัติจัดตั้งกองทุนรวม Spot Bitcoin ETF ขึ้นเป็นครั้งแรก ส่งผลให้ราคา Bitcoin ในช่วงนั้น ทำราคาพุ่งทะลุทำ all time high ก่อนที่จะทำ Bitcoin Halving ในช่วงเดือนเมษายน 2567
ทั้งนี้ Ethereum ETF แม้ได้รับการมีการอนุมัติแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถทำการซื้อขายได้ เนื่องจากยังติดขัดแก้ไขเอกสารสำคัญ S-1 คาดว่า อาจมีการยื่นแก้ไขอย่างน้อย 2 ครั้งถึงจะทำการอนุมัติให้เริ่มซื้อขายได้ โดย "กูรู" วิเคราะห์ว่า หลังจากนี้ตลาดคริปโทฯ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด หรือ RealX ผู้ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน ให้ข้อมูลกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.2567 ได้เกิด Bitcoin ETF เป็นครั้งแรกที่สถาบันการเงินทั้งหลายสามารถซื้อ Bitcoin ผ่านตราสารที่เรียกว่า ETF ได้โดยตรง และผู้เล่นที่เข้ามามีทั้งบริษัทจัดการการลงทุน ที่ใหญ่สุดในโลก เช่น "BlackRock" รวมถึง "ฟิเดลิตี้" และ "ARK Investment Management" เป็นต้น
ล่าสุด ได้มีการออก Spot Ethereum ETF ผ่านในแง่ร่างกฎหมายเป็นที่ยอมรับ แต่ยังไม่สามารถซื้อขายได้ ยังต้องใช้ระยะเวลาในการผ่านกฎหมายอีกตัวถึงจะทำการซื้อขายได้ แต่ในขณะที่ราคา Ethereum เริ่มรอจอแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ถือว่า เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก
"ปีนี้สถาบันการเงินสามารถซื้อ Bitcoin ได้ ซึ่งเมื่อเข้าไปดูสถิติต่าง ๆ คนเข้ามาลงทุนใน Bitcoin เยอะมาก สมัยก่อนมี กองทุน Grayscale ถือ Bitcoin เยอะที่สุด แต่ทุกวันนี้เริ่มถึอ Bitcoin น้อยกว่า BlackRock ที่เป็นบริษัทจัดการการลงทุน ที่ใหญ่สุดในโลก ซึ่งมีทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การดูแลสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเข้าไปลงทุนใน Bitcoin มากที่สุดในโลก และหลังจากนี้ไปคริปโทฯ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งใหญ่มหาศาล เปรียบเสมือนกับคลื่นลูกใหญ่กำลังจะมา ซึ่งคล้ายกับ "สึนามิการลงทุน"
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ หรือโพลต่าง ๆ ในต่างประเทศได้ทำการวิจัยและสำรวจพบว่า คนรุ่นใหม่ชอบ Bitcoin ทำให้กระแสค่อนข้างมาแรงมาก โดยในปีนี้ สหรัฐฯ มีการเลือกตั้ง และล่าสุด สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ได้มีมติอนุมัติร่างกฎหมายนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินสําหรับศตวรรษที่ 21 หรือ FIT21 หากได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาและลงนามเป็นกฎหมายจะทำให้บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ SEC ที่มีต่อสินทรัพย์ดิจิทัลมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ FIT21 เกิดขึ้นจะทำให้บรรดาเหรียญ หรือคริปโทฯ สามารถผ่านกฎหมายได้เร็วขึ้น แนวโน้มหลังจากนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และเป็นบวกกับคริปโทฯ หลังจากที่ผ่านทั้งสภาล่างและสภาสูง ซึ่งเวลาที่จะมีการบังคับใช้พระราชบัญญัตินี้ ต้องผ่าน ประธานาธิบดี "โจ ไบเดน" หากมีการ VETO เมื่อไร กฎหมายฉบับนี้ก็จะออกไป แต่สุดท้าย "โจ ไบเดน" เริ่มหวั่นไหวไม่กล้าที่จะ VETO เพราะกลัวฐานเสียงคนรุ่นใหม่จะตีจาก จึงทำให้กฎหมายดังกล่าวผ่าน
ขณะที่ฝั่งของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่มีความชื่นชอบคริปโทฯ ได้มีการหาเสียงว่า หากได้รับเลือกตั้ง รับรองว่าจะมีการผ่านกฎหมายเกี่ยวกับคริปโทฯ ที่จะเข้ามาสนับสนุน รวมถึงหากประชาชนต้องการที่เข้ามาสนับสนุน "ทรัมป์" สามารถบริจาคเป็นคริปโทฯ ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงมองเป็นไปในทิศทางที่ดีมาก
กันตณัฐ วุฒิธร หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การมาของ Spot Ethereum ETF ได้ผ่านการอนุมัติในเฟสแรก และรอการอนุมัติอีกครั้งเพื่อให้สามารถทำการซื้อขายได้ ซึ่งถือว่าเป็นการปลดล็อกหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการที่คนมองว่า Bitcoin หรือ Cryptocurrency เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า คนจะมองเป็นแบบนั้นจนถึงปัจจุบัน จากการได้ยินข่าวสารก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐฯ พยายามแบน หรือแม้กระทั่งจีนกำลังพยายามแบน หรือหลาย ๆ ที่กำลังพยายามแบน
ดังนั้นการที่เหรียญ Bitcoin และ Ethereum ได้ขึ้นไปเป็น Spot ETF ได้ นั่นหมายความว่า ถูกการยอมรับจากชาติต่าง ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของความโปร่งใสมากขึ้น เพื่อให้คนรู้สึกว่า ไม่ใช่สิ่งที่หลายคนรู้สึกว่า ผิดกฎหมายเหมือนเดิมแล้ว
รวมถึงเป็นการปลดล็อกเพดานเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาได้มากกว่า หากเทียบในช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่จะมี ETF ขึ้นมา เงินที่ไหลเข้ามาต้องยอมรับว่า เป็นเงินที่มาจากนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาได้ เพราะทุกคนสามารถซื้อ Bitcoin และ Ethereum ได้โดยที่ไม่มีใครว่า ขณะที่ บริษัท หรือนิติบุคคลที่อยากซื้อ Bitcoin หรือ Ethereum ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดทางกฎหมาย ปัจจุบันสามารถทำได้แล้ว ดังนั้นจึงเป็นการปลดล็อกเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เข้ามา
"สถาบันการเงินหลัก อย่าง BlackRock ที่ใหญ่กว่า จีดีพีประเทศไทย 20 เท่า หรือ ฟิเดลิตี้ ใหญ่กว่า จีดีพีประเทศไทย 10 เท่า เขาได้มีการเสนอ Bitcoin ให้กับนักลงทุนของเขา และลองคิดดูว่า เม็ดเงินที่มีโอกาสเข้ามาจะใหญ่ประมาณไหน สมมุติว่า เพียงแค่เม็ดเงินไหนเข้ามาแค่ 7% เม็ดเงินหรือ AUM กองทุน มันใหญ่กว่าตลาด Bitcoin ในปัจจุบัน"
ในปัจจัยบวกต่าง ๆ เหล่านี้ แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุนคือ ความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอด โดยเฉพาะ Digital Asset มีเรื่องไฟแนนซ์ เทคโนโลยี และ blug ดังนั้นทุกอย่างมีความเสี่ยง ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ว่า ตลาดจะขึ้น 80% หรือลง 60% คุมไม่ได้ แต่เราสามารถคุมความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ 100%
ณัฐพงษ์ ชรัวสวรรค์ นักวิเคราะห์ บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด ให้ข้อมูลต่อไปอีกว่า สถาบันการเงินได้ให้การยอมรับมากขึ้น และหลังจากนี้เริ่มที่จะมีการแบ่งสัดส่วนมาสู่คริปโทฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหากดูวอลุ่มการเทรดของ Spot Bitcoin ETF ณ ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หรือแทบจะทำ New High ขณะที่ล่าสุด Spot Ethereum ETF แม้จะมีการอนุมัติแล้วแต่ยังไม่ได้มีการเปิดขาย
"จากที่ก่อนหน้านี้ Bitcoin ดีดขึ้นมาแรง จะเห็นว่า Ethereum ไม่ได้ขึ้นมาเยอะ เพราะว่าที่ผ่านมา นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจมุ่งไปที่ Bitcoin เพียงตัวเดียว หลังจากที่ได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว และหลังจากนั้นถึงจะวนกลับมาเป็นรอบของ Ethereum ซึ่งคริปโทฯ ปกติ พอเริ่มอยู่ช่วงขาขึ้นจะวิ่งไทม์ไลน์ต่างกัน เช่น Bitcoin จะเริ่มวิ่งก่อน พอ Bitcoin เริ่มย่อ Ethereum ก็จะเริ่มวิ่งตาม"
อย่างไรก็ตาม คริปโทฯ ในช่วงนี้มีการย่อในระดับหนึ่ง นักลงทุนสามารถเข้าไปทยอยสะสมได้ เพราะมองว่า ตลาดยังคงเป็นขาขึ้นไปจนถึงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ สิ่งที่น่าจับตามองที่จะเป็นตัวจุดกระแสคริปโทฯ มาจากการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ เพราะค่อนข้างมีผลต่อราคาคริปโทฯ พอสมควร และมองว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญ ปัจจุบันมีจำนวน user ที่ถือคริปโทฯ อยู่ประมาณ 30 -50 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่า การที่จะมีบัญชี Exchange Cryptocurrency ต้องบรรลุนิติภาวะ
โดยมั่นใจได้กลุ่มคนเหล่านี้ เป็นกลุ่มที่เป็นพลเมืองเลือกตั้งได้ทั้งหมด ขณะที่ประชากรสหรัฐมีจำนวน 330 ล้านคน หากตัดเยาวชนออกไปจะเหลืออยู่ที่ประมาณ 200 กว่าล้านคน จึงทำให้สัดส่วนใน 30- 50 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญมาก ทั้งนี้ ช่วงก่อนเลือกตั้งประมาณ 1 - 2 เดือน คริปโทฯ น่าจะมีการเหวี่ยงพอสมควร