‘กัลฟ์ ไบแนนซ์’ย้ำเป้าหมายที่ 1 ของตลาด หวังเลือกตั้งสหรัฐดัน 'คริปโท'

‘กัลฟ์ ไบแนนซ์’ย้ำเป้าหมายที่ 1 ของตลาด หวังเลือกตั้งสหรัฐดัน 'คริปโท'

‘กัลฟ์ ไบแนนซ์’ ย้ำเป้าหมายที่ 1 ของตลาด เร่งบุกฐานลูกค้าใหม่ เดินหน้า 3 กลยุทธ์ครึ่งปีหลัง หวังเลือกตั้งสหรัฐดันอุตสาหกรรม 'คริปโท' ทั่วโลก

KEY

POINTS

  • Binance TH ใยังคงยืนยันเป้าหมายในการขึ้นเป็นผู้นำเบอร์ 1 ด้วยเทคโนโลยี 'ไบแนนซ์'
  • โฟกัสการทำการตลาด ในกลุ่มลูกค้าใหม่เพื่อเจาะตลาดแมสมาร์เก็ตมากขึ้น นอกเหนือจาก 'คริปโทเนทีฟ'
  • ไม่ว่า “โดนัล ทรัมป์” หรือ “กมลา แฮร์ริส” จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ล้วนเป็นมุมมองเชิงบวกต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลโลกอย่างแน่นอน

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเริ่มต้นปี 2567 อย่าง “คึกคัก” ด้วยมูลค่า “ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลก” อยู่ที่ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ เติบโตเกือบ 30% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ซึ่ง “กัลฟ์ ไบแนนซ์” ผู้ให้บริการธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหน้าใหม่ในประเทศไทยก็เติบโตพร้อมกับตลาดเช่นกัน

“นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด หรือ Binance TH ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ยังคงยืนยันเป้าหมายในการขึ้นเป็นผู้นำเบอร์ 1 เพื่อครองตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลภายใน 1-2 ปี ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถ “ดึงดูด” และ “ครองใจ” ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในแพลตฟอร์มมากขึ้น 

‘กัลฟ์ ไบแนนซ์’ย้ำเป้าหมายที่ 1 ของตลาด หวังเลือกตั้งสหรัฐดัน \'คริปโท\'

“ถ้าใครเคยใช้ไบแนนซ์มาก่อนก็จะรู้ว่ากระดานระดับโลกอย่างไบแนนซ์ดีที่สุด ซึ่งเราใช้เทคโนโลยีของไบแนนซ์ และถ้าคนรู้จักมากขึ้นเปิดใจกับเรามากขึ้น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะเป็นที่ 1 ไม่ได้”

หากย้อนดูตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 6 เดือน ที่กัลฟ์ไบแนนซ์ได้เปิดใช้บริการอย่างเต็มรูปแบบ ในฐานะแบรนด์ใหม่ที่ถือว่าเติบโตตามตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเข้า “สู่ขาขึ้น” ทำให้ปัจจุบันมีผู้ใช้งานลงทะเบียนเข้ามากว่า 3 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วง 2 เดือนแรกที่มียอดลงทะเบียนอยู่ที่ 5 หมื่นคน ซึ่งยังไม่นับรวมการยืนยันตัวตน (KYC)

แม้จะมีการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการ “ทดสอบระบบ” เพื่อค้นหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เนื่องจากรูปแบบการใช้งานแพลตฟอร์มและฟีเจอร์ต่างๆ ที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดบริการนั้นจะต้องมีการปรับแก้เพื่อตอบรับการใช้งานของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ขณะที่ ส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นก็ผลักดัน “วอลุ่มเทรด” บนกระดานด้วยเช่นกัน โดยตั้งแต่เปิดบริการปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันบนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาทต่อวัน สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและการเข้าถึงตลาดคริปโทของนักลงทุนไทยอย่างต่อเนื่อง 

‘กัลฟ์ ไบแนนซ์’ย้ำเป้าหมายที่ 1 ของตลาด หวังเลือกตั้งสหรัฐดัน \'คริปโท\'

 3 กลยุทธ์ บุกตลาดครึ่งปีหลัง

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ถือเป็นการ “เอาจริง !!” ประโยคเด็ดของ “นิรันดร์” ก่อนฉายภาพธุรกิจครึ่งปีหลังให้ฟัง...  

โดยวาง 3 กลยุทธ์ในการเดินหน้าธุรกิจเพื่อครองใจนักลงทุนอีกขั้นอย่างแรกคือ 

1.โฟกัสการทำการตลาด ในกลุ่มลูกค้าใหม่เพื่อเจาะตลาดแมสมาร์เก็ตมากขึ้น ด้วยการเสริมทัพประธานเจ้าหน้าที่การตลาดเพื่อเข้ามาดูแล และสร้างชมชุนของลูกค้ารายย่อยกลุ่มใหม่ๆ และนักลงทุนที่ไม่ใช่ “คริปโทเนทีฟ” หรือนักลงทุนสายเลือดบล็อกเชนมากขึ้น โดยในปัจจุบันคนที่อยู่ในวัย 30-40 ปี ถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของไบแนนซ์

2.ไม่หยุดพัฒนาเพื่อความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นฟีเจอร์และโปรโมชันใหม่ๆ เช่น การฟรีค่าธรรมเนียม และฟีเจอร์ “Easy Buy/Sell” ที่ทำให้นักลงทุนชาวไทยสามารถเริ่มต้นซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่สนใจด้วยคู่เหรียญไทยบาท รวมถึงการเพิ่มเหรียญซึ่งอาจเป็นจุดดึงดูดความสนใจให้นักลงทุนเอามาใช้บริการแบรนด์ใหม่ในตลาดอย่างกัลฟ์ไบแนนซ์ได้ นอกจากนี้กัลฟ์ไบแนนซ์สามารถนำเสนอเหรียญคริปโทที่น่าสนใจจากกระดานไบแนนซ์ได้ 

และสุดท้ายคือ 3.การส่งเสริมการศึกษา โดยมุ่งมั่นให้ความรู้เกี่ยวกับบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลในมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ

นอกจากนี้ กัลฟ์ ไบแนนซ์ ยังคงเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของ “นิวโค” (NewCo) บริษัทใหม่หลังการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH เพื่อต่อยอดโอกาสเติบโตในธุรกิจพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน และ “ธุรกิจดิจิทัล” ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านบล็อกเชนให้กับประเทศไทย ซึ่งการจับมือกับไบแนนซ์แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทใหญ่ที่สุดในโลกที่สามารถนำความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งได้ 

รวมไปถึงแผนในอนาคตหาก “กัลฟ์” วางแผนที่จะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการ “โทเคนไนซ์คาร์บอนเครดิต” ซึ่ง กัลฟ์ ไบ แนนซ์ อาจมีส่วนช่วยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเป็นตลาดรองในการเพิ่มสภาพคล่องและความโปร่งใสในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต รวมไปถึงมีส่วนใน “เวอร์ชวลแบงก์” ด้วย

อย่างไรก็ดี ทุกกิจกรรมและฟีเจอร์ที่ได้ถูกปล่อยออกมาได้มีการปรึกษาอย่างละเอียดก่อนที่จะดำเนินการใดๆ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและข้อกำหนดของทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วทั้งสิ้น โดยที่ไบแนนซ์ได้มีการหารือกับก.ล.ต.อยู่เป็นประจำเพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรม 

นอกจากนี้ ก.ล.ต.ชุดใหม่ค่อนข้างเปิดรับและมองหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมคริปโทในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น แม้จะยังมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีต แต่ก็พร้อมที่จะปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรม เชื่อว่าจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ปีนี้และปีหน้า

ตลาดคริปโททั่วโลกเริ่มต้นปีนี้ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2567 มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็วคือ การได้รับความสนใจจากกองทุน ETF (Exchange-Traded Fund) และผลักดันให้บิตคอยน์ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 70,000 ดอลลาร์ หลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว ราคาเริ่มมีการผันผวนและทรงตัวมากขึ้น 

“บิตคอยน์” เชื่อมโยงตลาดโลก

“นิรันดร์” มองว่าปัจจุบัน “บิตคอยน์” เริ่มมีความเชื่อมโยงกับตลาดโลกมากขึ้น สังเกตุได้จากเหตุการณ์แบล็กมันเดย์ (Black Monday) ที่ราคาบิตคอยน์ก็ดิ่งลงแรงกว่า 6% ในวันเดียว เพราะนอกจากนักลงทุนคริปโทที่สนใจบิตคอยน์อยู่แล้ว ตลาดยังมีนักลงทุนกลุ่มใหม่เข้ามามากขึ้น เช่น นักลงทุนทั่วไป, กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และบริษัท Venture Capital ที่เข้ามาลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีผ่านกองทุน ETF (Exchange-Traded Fund) ด้วย

ท่ามกลางความผันผวนนี้ ยังมีแนวโน้มเชิงบวกเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเหล่าผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐได้มีการกล่าวถึงการสร้างคลังสำรองบิตคอยน์แห่งชาติที่ชี้ให้เห็นถึงการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงการเล็งเห็นศักยภาพของบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้น

หลังจากนี้ไม่ว่า “โดนัล ทรัมป์” หรือ “กมลา แฮร์ริส” ที่แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีนโยบายต่อสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง แต่เชื่อว่ามุมมองของแฮริสจะเปิดกว่างมากว่า “โจ ไบเดน”อย่างแน่นอน และไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ล้วนเป็นมุมมองเชิงบวกต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลโลกอย่างแน่นอน

ถ้าหากทรัมป์สามารถผลักดันสหรัฐสู่เมืองหลวงของอุตสาหกรรมคริปโทตามคำมั่นที่ให้ไว้บนเวทีปราศัยได้ สหรัฐจะเป็นผู้นำในการเปิดมุมมองสู่โลกสินทรัพยฺดิจิทัลมากขึ้น และทั่วโลกจะทำตามและมีการพัฒนาในด้านนี้มากขึ้น 

“เชื่อมั่นว่า หลังจบการเลือกตั้งอาจเป็นปัจจัยบวกของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลทั่วโลกในไตรมาส 4 ปีนี้ และไตรมาส 1 ปี 2568 อย่างไรก็ดี คริปโทเป็นสิ่งใหม่ที่ทุกคนมีมุมมองที่ต่างกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการยอมรับเทคโนโลยีที่ดีด้วยการหาบาลานซ์”