‘ไบแนนซ์’ ชูสินทรัพย์ดิจิทัลไทย หนุนผู้ใช้สู่ระดับ ‘พันล้านบัญชี’ใน 3 ปี !
“กัลฟ์-ไบแนนซ์” หนึ่งในกลยุทธ์สู่การขยาย “ฐานลูกค้าผู้ใช้ทั่วโลก” ของไบแนนซ์ “พันล้านบัญชี” ภายใน 3 ปีมอง “สินทรัพย์ดิจิทัลไทย” แข็งแกร่งภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต.
“ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย” เป็นหนึ่งในตลาดที่มีการรับรู้และยอมรับ “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) เร็วที่สุดในโลก รวมถึงการเข้าถึงคริปโทสูงที่สุด โดยอ้างอิงจากรายงานของเชนอะนาไลซิส ทำให้ทีมการตลาดของไบแนนซ์ให้ความสำคัญสำหรับการเติบโตในตลาดนี้เป็นอย่างมาก
“เรเชล คอนลัน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาดไบแนนซ์ระดับโลก หรือ Binance.com ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงโมเมนตัมของตลาดคริปโททั่วโลก ว่า ไบแนนซ์ให้ความสำคัญกับตลาด “สินทรัพย์ดิจิทัลไทย” เนื่องจากเป็น 1 ใน 20 ประเทศ ที่มีศักยภาพทั้งการเติบโต-ปริมาณการซื้อขาย และตัวชี้วัดต่างๆ หลังจากที่ “ไบแนนซ์ ทีเอช บายกัลฟ์ ไบแนนซ์” ได้รับใบอนุญาตในการดำเนิน “ธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล” จากกระทรวงการคลัง ผ่านทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเปิดทำการในประเทศไทยเต็มรูปแบบ
พร้อมกับยอมรับว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแนวทางกำกับดูแลคริปโทที่ก้าวหน้าและชัดเจน ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญให้กับอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งไบแนนซ์ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยมีทีมกฎหมาย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบขนาดใหญ่เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ต่างๆ
แม้ไทยจะมีอัตราเข้าถึงคริปโทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง “2 เท่า” ซึ่งอยู่ที่ 12% ขณะที่ทั่วโลกแล้วยังอยู่ที่เพียง 6% เท่านั้น แต่ก็ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด ดังนั้น อุตสาหกรรมยังคงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคริปโทอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับประเทศและระดับโลก เพราะความรู้ที่ถูกต้องจะเป็น “กุญแจสำคัญ” ผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตยั่งยืน
ในปี 2567 คือ ปีสำหรับ “การกำกับดูแล” แน่นอนว่าอนาคตของคริปโทจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนแม้ปัจจุบันไบแนนซ์จะมีใบอนุญาติการประกอบธุรกิจใน 20 ประเทศแล้ว แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่มีการกำหนดหรือนำกฎระเบียบด้านคริปโทมาใช้ไบแนนซ์จึงร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแลในแต่ละประเทศในการพัฒนากรอบการกำกับดูแลที่ส่งเสริมนวัตกรรมและความเติบโตของอุตสาหกรรมนี้เพื่อสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสำหรับนักลงทุนในและทุกคนในคริปโททั่วโลก
หลังจากนี้ ไบแนนซ์มีเป้าหมายขยายฐานผู้ใช้งานสู่ “พันล้านคน” จากธุรกิจที่คลอบคลุมเกือบ 100 ประเทศทั่วโลก โดยมุ่งเน้นเข้าถึงผู้ใช้งานในระดับท้องถิ่นมากขึ้น หลังมีทีมการตลาดที่มีความหลากหลายสัญชาติเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการผู้ใช้งานในแต่ละตลาดได้อย่างเหมาะสม ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างคู่เทรดเหรียญและการบริการ เมื่อถึงจุดนั้นคริปโทจะเปลี่ยนแปลงสถานะจากเรื่องเฉพาะกลุ่มมาสู่กระแสหลักของสังคมอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ปัจจุบันไบแนนซ์มีผู้ใช้งานทั่วโลกทั้งหมด 240 ล้านคน และเพิ่มขึ้นอีก 60 ล้านคน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลจากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลได้รับความสนใจ และยอมรับมากขึ้นจากทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยทั่วโลก หลังมีการอนุมัติ “กองทุนบิตคอยน์ อีทีเอฟ” และมีกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นในหลายประเทศ
สำหรับปี 2568 ไบแนนซ์มองเห็นโมเมนตัมที่ชัดเจนในการผลักดันคริปโทเข้าสู่ “กระแสหลัก” และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก กล่าวคือ 1 ใน 5 หรือ 20% ของประชากรทั่วโลกเข้าถึงคริปโท และถือสกุลเงินดิจิทัลในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่าจะเป็นแค่ถือครอง ซื้อขายหรือแม้แต่เป็นเจ้าของเอ็นเอฟที ซึ่งนับว่าเป็นจุดทีไบแนนซ์จะประสบความสำเร็จภายใน 36 เดือนต่อจากนี้ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรและบริษัทเว็บ 2.0 เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่เข้าถึงง่าย ซึ่งประเทศที่มีความพร้อมอย่างไทย และเอเชียช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายนี้
เรียกได้ว่าสปอร์ตไลต์ส่องมาที่คริปโท เพราะกลายเป็นหนึ่งในนโยบายในการเลือกตั้งสหรัฐ 2567 จากทั้ง “คามาลา แฮร์ริส” ของพรรคเดโมแครด และ “โดนัล ทรัมป์” พรรครีพับลีกันที่ผ่านมาประเด็นใดก็ตามที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากก็มักจะถูกนำมาเป็นนโยบายสำคัญในการหาเสียงเสมอ และคริปโทก็เป็นหนึ่งในประเด็นเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนเป็นจำนวนมากแล้ว