คลังยันไม่เก็บภาษีเพิ่มกรณีเศรษฐีนำที่ดินว่างเปล่าปลูกพืชเกษตร
คลังยึดหลักกฎหมายใช้เท่าเทียมไม่เก็บเพิ่มภาษึที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกรณีเศรษฐีนำที่ว่างเปล่าปลูกพืชเกษตรเพื่อเลี่ยงภาษี
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นหลักกฎหมายที่ต้องใช้แบบเท่าเทียมทุกคนในประเทศ ไม่สามารถเลือกปฏิบัติ
แหล่งข่าว กล่าวว่า กรณีที่กรุงเทพมหานครเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้เข้าหารือกับคณะอนุกรรมการวินิจฉัยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ถึงข้อปฏิบัติในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งก่อนหน้านี้กรุงเทพมหานคร ตั้งข้อสังเกตุถึงที่ดินใจกลางเมือง ที่ปล่อยทิ้งร้าง เป็นที่ว่างเปล่า แต่เมื่อมีการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เจ้าของที่ดินเหล่านั้น ก็หันมาทำแปลงปลูกมะนาว หรือ กล้วย เพื่อให้ที่ดินของตนเองเข้านิยาม ที่ดินเพื่อการเกษตร ซึ่งมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า ที่ดินที่ปล่อยรกร้างว่างเปล่า
แหล่งข่าวกล่าวว่า หลักเกณฑ์ที่กำหนดว่าที่ดินแปลงใดเข้านิยามการเป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้เหมือนกันหมดทั่วประเทศ ซึ่งอาจมีคำถามว่า ที่ดินบางแปลง ที่มีมูลค่าสูง ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนทำการเกษตรนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เพราะบางคนอาจยังไม่มีทุนเพียงพอที่จะพัฒนาที่ดินของตนเองได้
ดังนั้น กฎหมายจึงไม่สามารถออกมาแบบเฉพาะเจาะจง ให้ใช้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ โดยหากเข้าตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่เท่าเทียมกัน เช่น หากปลูกกล้วยหอม ตั้งแต่ 200ต้น/ไร่ขึ้นไป จะเข้าข่ายการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตร เป็นต้น
ทั้งนี้เมื่อคณะอนุกรรมการวินิจฉัยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีความเห็นประการหนึ่งประการใดแล้ว จะต้องเสนอให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยปัญหาในการจัดเก็บภาษีตามที่กรุงเทพมหานคร เสนอมา
ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นการจัดเก็บตามมูลค่าที่ดิน และเก็บตามช่วงมูลค่า เป็นขั้นบันใด โดย ได้กำหนดอัตราภาษีในอัตราแนะนำ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ใช้ในการจัดเก็บ เช่น ในกรณีที่ดินเพื่อการเกษตร ช่วงมูลค่า 0-75 ล้านบาท ให้จัดเก็บในอัตรา 0.01% ,มากกว่า 75 ล้านบาท ถึง 100 ล้านบาท จัดเก็บในอัตรา 0.03 % และ 1 พันล้านบาทขึ้นไป จัดเก็บในอัตรา 0.1 % เป็นต้น ,ส่วนที่ดินรกร้างว่างเปล่า กรณีมูลค่าที่ดิน ไม่เกิน 50 ล้านบาท เสียในอัตรา 0.3 % และ มากกว่า 50 ล้านบาทถึง 200 ล้านบาท เก็บในอัตรา 0.4 % เป็นต้น
ทั้งนี้ ท้องถิ่นสามารถเพิ่มอัตราภาษีได้ แต่ต้องไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เช่น กรณีที่ดินเพื่อการเกษตรกำหนดเพดานไว้สูงสุดไม่เกิน 0.15 %
อย่างไรก็ตาม หากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใด ต้องการจะเพิ่มอัตราภาษีให้สูงกว่าอัตราแนะนำ จะต้องเสนอให้คณะกรรมการตามกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอนุมัติ ยกเว้น กรุงเทพมหานคร สามารถดำเนินได้ด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องมาขออนุมัติ