"อาทิตย์" เอสซีบี เอกซ์ เกาะ 3 ธีม 3 เฟส มุ่งสู่ "เทคคอมพานี"

"อาทิตย์" เอสซีบี เอกซ์ เกาะ 3 ธีม 3 เฟส มุ่งสู่  "เทคคอมพานี"

“อาทิตย์” เอสซีบี เอกซ์ วางยุทธ์ศาสตร์องค์กร มุ่งสู่ 3 ธีม 3 เฟส หนุนสร้างธุรกิจเติบโต ไปสู่ “เทคคอมพานี” เฟสแรก เน้นลงทุนเทคโนโลยี สร้างการเติบโตของธุรกิจในกรุ๊ป สุดท้ายผลักดันธุรกิจ แพลตฟอร์มสู่ IPO ยูนิคอร์น

     นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธาน เอสซีบี เอกซ์ กล่าวในงานเสวนา “ซีอีโอ Big Corp สู่ธุรกิจแห่งอนาคต” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจว่า สาเหตุที่ธนาคารต้องลงทุนและลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงธนาคารครั้งใหญ่จนนำมาสู่การจัดตั้ง “เอสซีบีเอกซ์” ในช่วงที่ผ่านมา เพราะเราเชื่อว่าจะถูกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดิสรัปไปเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ว่านี้จะพาเราไปทิศทางไหน แต่มั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน 

      “การจัดตั้งธุรกิจการเงิน เอสซีบีเอกซ์ สิ่งที่มองเห็นคือ การทำให้ระบบธนาคาร เวลธ์เมเนจเม้นท์ ประกัน ที่ต้องปล่อยให้ธุรกิจเดินต่อไป และทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้” 

       ส่วนสิ่งที่จะเป็นทิศทางของ “เอสซีบี เอกซ์” และเป็นเรื่องที่ต้องมองไปข้างหน้า คือ ต้องตอบให้ได้ว่าอะไรคือเป้าหมายหรือ Way ที่จะไปเพื่อตอบโจทย์  Global painpoint ที่มองว่าเป็นธีมใหญ่ และด้วยเอสซีบี เอกซ์ ที่มาจากรากของไฟแนนเชียล มาจากสถาบันการเงิน 

      ดังนั้นโจทย์หลักของเรา คือ จะพาตัวเอง ไปเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร 

 

      ดังนั้นต้องไปกับ 3เรื่องหลัก จะเกาะ 3ธีมนี้คือ Income inequality ,Disruptive Technologies ,และ Environmental Concerns ที่จะเป็นเทรนด์ใหญ่ในการกำหนดยุทธ์ศาสตร์ และวางแผนที่จะสร้างธุรกิจจากขีดความสามารถจากเทคโนโลยีไปหลากหลายสาขาที่ ตาม Vision  ใหม่ของ เอสซีบีเอกซ์ในฐานะไฟแนนเชียลเทคโนโลยี 

      “จากนี้ สิ่งที่อยากเริ่มต้น ที่เอสซีบีเอกซ์ จะทำ beyond จากสิ่งที่เคยทำ จะเกาะ 3ธีมนี้คือ Income inequality ,Disruptive Technologies ,และ Environmental Concerns”

      โดย Income inequality โดยมีหัวใจหลักคือ  Financial inclusion คือสิ่งที่ตั้งใจจะทำ และสร้างในอนาคต เช่นVirtual Bank แบงก์ไม่มีสาขา  ดิจิทัลแบงกิ้ง คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ที่จะเอาความสามารถจากเทคโนโลยี จาก AI จากดิจิทัล มาทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง ทำให้คนด้อยโอกาสมีความสามารถในการเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการลดภาระหรือต้นทุน หรือการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อใช้ดำเนินธุรกิจ ดำรงชีพ 

      ด้านที่สอง Disruptive Technologies  ที่มองว่า เอสซีบีเอกซ์ มองดิจิทัลแอสเสท มองการเกิดขึ้นของเทคโนโลยี ว่าสิ่งที่เราอยากจะทำ คืออะไร มองว่า การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีบล็อกเชน มาใช้เป็นบิสซิเนสโมเดล ที่แบ่งเป็นสองส่วน

      ส่วนแรก Evolution คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่คนไปให้ความสำคัญ หรือสนใจไปกับการเก็งกำไร แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในความคิดของเรา คือ capital market & Banking market รวมกันเป็น Financial market  ที่มีเป็นตัวกลาง แต่บล็อกเชนจะเข้ามาทำทดแทนตัวกลาง เข้ามาแทนระบบกลางของระบบการเงินทั้งหมด

       ทั้งการกู้ยืม เข้ามาแทนทุกขั้นตอนของตลาดทุน ที่บล็อกเชน สามารถสร้างองค์ประกอบที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน (อินฟราสตรักเจอร์) บล็อกเชน สามารถสร้าง องค์ประกอบทีเป็นอินฟราสตรักเจอร์ แม้จะไม่ถึงขั้น ดิสรัป แต่จะเข้ามา replace แทนที่ เพื่อทำให้มาร์เก็ตระบบเดิม เป็นระบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ efficiency มากขึ้น ดีขึ้น ที่ตอบสนองกว่า ทั้งผู้คนที่อยู่ในอีโคซิสเต็มทั้งหมดได้ดีกว่า 

     “ดังนั้น เอสซีบีเอกซ์ จึงโฟกัสบน Evolution ไม่ใช่ว่า ไม่เชื่อใน ดิรัปชั่น หรือไม่เชื่อของการมา Web3.0  หรือการมาของ Defi  Metaverse เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นท้ายที่สุดจะเกิดขึ้น แต่ความเชื่อกับสิ่งที่เราจะทำขณะนี้  นั้นคือสิ่งที่เราจะโฟกัสหลังจากนี้ไป”

     ถัดมาคือ Global Cimate change เพราะเอสซีบีเอกซ์ เกาะติดอยู่ในไฟแนนเชียล มีแพลตฟอร์ม และเป็นคนที่ต้องดูแล ผู้ประกอบการ ดังนั้น เอสซีบีเอกซ์ ตั้งใจทำให้ระบบการเงินเกิดความตระหนัก และ Take action กับกระแสที่เกิดขึ้น เพราะมองว่าเรื่องนี้เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสที่ยิ่งใหญ่ และมองว่าบริษัทขนาดกลางขนาดเล็กจำเป็นต้องปรับตัว ไปสู่การลดคาร์บอนฯไปกับแนวทางเดียวกันบริษัทใหญ่ๆ ดังนั้นกระบวนการทั้งหมด ต้องใช้เทคโนโลยี ต้องมีกระบวนการ ต้องมีสตาร์ทอัพเกิดขึ้นใหม่ ต้องมีหลายสิ่งที่ทำให้กระบวนการที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้เกิดขึ้นได้ 

       ดังนั้นการวางกลยุทธ์ของ เอสซีบีเอกซ์ เราแบ่ง เป็น 3กลุ่ม กลุ่มแรก กลุ่มแบงก์ เวลธ์ประกัน ที่ต้องเดินหน้าต่อไปเป็น Cash Cow ทำให้ดีต่อเนื่อง กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เกี่ยวกับ Financial inclusion คือการทำให้คอนซูเมอร์รีไฟแนนซ์ การทำ Virtual Bank  แบงก์ เพื่อช่วยคนตัวเล็ก กลุ่มที่สาม จะเป็น technology company 

       อย่างไรก็ตาม การวางยุทธ์ศาสตร์ทั้งหมด จึงแบ่งเป็น 3ช่วง  ในช่วง 5 ปี  โดยเริ่มตั้งแต่ปีนี้ โดยเฟสแรก คือปีที่1-2  เป็นเรื่อง Foundation Building ซึ่งหากเอสซีบีเอกซ์ อยากเป็นเทคคอมพะนี แต่ไม่มีการทำ R&D ไม่สามารถเปลี่ยนCulture ไม่สร้าง Painpoint ขนาดใหญ่ เอสซีบีเอกซ์ คงไม่ใช่เทคคอมพะนีได้ ดังนั้น ในช่วง 1-2ปีนี้ เป็นเรื่องของการ ลงทุนเพื่อสร้าง Poundation หลังจากนี้ 

      รวมถึงการ จะมีการ Buil Foundation ใหม่ ผ่านการลงทุนใน AI ระบบ Cloud ฯลน์ ที่จะมีการจับมือกับพาร์เนอร์ระดับโลก ในการ Buil center excellence ที่กำลังลงทุนในเรื่อง Cloud ,AI, Cyber Security ดังนั้นจะจับมือกับพาร์เนอร์ระดับโลกในการ Buil 3เรื่องนี้ 

      “เราใช้ยุทธ์ศาสตร์ของการทำ M &A ในการมองหา excavation ใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของแบก์กิ้ง แต่เป็นเรื่องการสร้างGood governance ใหม่ขึ้นมา ที่จะ Operate หรือดำเนินการทั้งกรุ๊ป ในการ create synergy และทำงานร่วมกัน”

     ทั้งนี้ เอสซีบีเอกซ์ กำลังจัดตั้ง Innovation lab ในต่างประเทศ ที่จะเน้นทำในเรื่อง Future Technology ไม่ว่าจะเป็นweb 3.0 อีกทั้งจะมีการร่วมกับสถาบันการศึกษาระดับโลกในการทำ research  ทำเรื่อง AI  ,Cyber อันนี้คือเฟสแรกของการลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถ 

      เฟสที่สอง เป็นเรื่องของการสร้างการเติบโต group synergy จากสิ่งที่ลงทุนในเฟสแรก ที่จะมาช่วยผลักดันสร้างการเติบโตให้ทุกบริษัทได้ ให้สามารถ Create growth รวมถึงการเดินต่อนอก Area จากประเทศไทย ไปสู่ภูมิภาค หรือต่างประเทศ ที่จะเกิดขึ้นในเฟสที่สอง

      เฟส สุดท้าย จะเป็นเรื่องการนำบริษัทต่างๆพร้อมไปสู่ IPO ไม่ว่าธุรกิจที่เป็นแพลตฟอร์ม ที่จะเป็น positive ebitda ไปเป็นยูนิคอร์น 

       สุดท้ายแม้ว่าเราจะเช็ต Provision แต่เราก็จะ Execution แบบ Prudent และสำหรับองค์กรที่จะทำเรื่องใหม่และอยู่ดีๆ จะเดินออกไปจากสิ่งที่ตัวเองทำ การ Balance สิ่งที่จะต้องทำ ต้องทดลอง และเปลี่ยนแปลงจะมีโอกาสผิด และจะต้องทำอย่างเร็วกับการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการ แม้กระทั่งจะต้องเอาผู้เชี่ยวชาญจากข้างนอกมาเพื่อให้กระบวนการการตัดสินใจ Prudent พอ เป็นสิ่งที่สำคัญ  และสิ่งที่เราเตรียมพร้อมกำลังจะออกเดินทางใน Chapter ต่อไป"