‘เงินบาทแข็งค่า’เปิดตลาดที่ 37.40 บาทต่อดอลลาร์
“กรุงไทย” ชี้ตลาดเปิดรับความเสี่ยงกดดันเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หนุนเงินบาทแข็งค่าขึ้น จับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ หากแย่ ไม่กดดันเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย ตลาดยังคงเปิดรับความเสี่ยงอยู่ มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ 37.25-37.50 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (5 ต.ค.) ที่ระดับ37.40 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.60 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ37.25-37.50 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ประเมินว่า ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่กดดันเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ คือ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นและแข็งค่ามากกว่าแนวรับที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า
ซึ่งหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวันนี้ ออกมาแย่กว่าคาดต่อเนื่อง ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย ทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงกดดันให้เงินดอลลาร์ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ และหนุนให้เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรือ แกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 37.30-37.40 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากระดับดังกล่าวถือว่าเป็นโซนแนวรับที่บรรดาผู้นำเข้าต่างก็รอจังหวะทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป พุ่งขึ้นกว่า +3.12% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Adyen +7.1%, ASML +6.2% จากความหวังว่าบรรดาธนาคารกลางอาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ Dior +6.6%, Hermes +6.1% จากความหวังว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอาจไม่ได้ชะลอตัวลงหนักหากบรรดาธนาคารกลางชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะเริ่มคาดหวังว่า เฟดรวมถึงบรรดาธนาคารกลางอื่นๆ อาจไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง แต่บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ก็ยังช่วยพยุงให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 3.63% (สูงกว่าจุดสูงสุดในช่วงกลางปีแถว 3.50% ไม่มากนัก) ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจไม่รีบเพิ่มสถานะการถือครองพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว จนกว่าจะเห็นสัญญาณการกลับตัวของทิศทางนโยบายการเงินเฟดที่ชัดเจน ซึ่งอาจต้องเกิดจากแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงชัดเจนและภาพตลาดแรงงานที่แย่ลงมากขึ้น ทำให้การเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีลักษณะ Sideways และเสี่ยงที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หากข้อมูลเศรษฐกิจไม่ได้แย่อย่างที่คาด โดยผู้เล่นในตลาดอาจรอจังวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นอีกครั้งในการทยอยเพิ่มสถานะการถือครอง (Buy on Dip) ท่ามกลางมุมมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้าอาจชะลอตัวลงมากขึ้นและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 110.2 จุด หลังผู้เล่นในตลาดต่างลดการถือครองเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) สู่ระดับ 1.145 ดอลลาร์ต่อปอนด์ และการรีบาวด์ขึ้นของเงินยูโร (EUR) สู่ระดับ 0.998 ดอลลาร์ต่อยูโร ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟด รวมถึงธนาคารกลางอื่นๆ อาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน สู่ระดับ 1,734 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า อาจมีแรงขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำและโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรดังกล่าวก็มีส่วนที่ช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท
สำหรับวันนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ โดย ISM (ISM Services PMI) เดือนกันยายน โดยตลาดประเมินว่า ภาคการบริการของสหรัฐฯจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการที่ระดับ 56 จุด (ดัชนีสูงกว่า 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) หนุนโดยภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ตามการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดจะรอจับตารายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ซึ่งอาจเป็นบอกแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ได้ โดยตลาดคาดว่า ยอดการจ้างงานภาคเอกชน อาจเพิ่มขึ้นราว 2 แสนราย สะท้อนภาวะการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง
ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่าเงินเฟ้อทั่วไป CPI เดือนกันยายนจะยังคงอยู่ในระดับสูงราว 7.2% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าและบริการตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงค่าไฟฟ้าที่มีการปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนกันยายนอย่างไรก็ดี เงินเฟ้อทั่วไปของไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้กังวลปัญหาเงินเฟ้อมากเท่ากับธนาคารกลางอื่นๆ และทำให้ ธปท. ยังสามารถทยอยขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ +0.25% ได้
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุม OPEC+ ว่าจะมีมติลดกำลังการผลิตลงมากน้อยขนาดไหน โดยราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวขึ้นต่อได้ หาก OPEC+ มีมติลดกำลังการผลิตมากกว่าคาด หรือ ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน