‘รัฐ-เอกชน’ แห่ออกขาย ’ESG Bond ’ 9 เดือนยอดพุ่งแตะ1.56 แสนล้าน
สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เผยยอดออกเสนอขาย“หุ้นกู้อีเอสจี” 9 เดือนปีนี้ พุ่ง 1.56 แสนล้าน เหตุ รัฐ-เอกชน รุกความยั่งยืน คาดอนาคตเติบโตต่อเนื่องจากเป็นอีกกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจของทุกบริษัท ขณะที่ยอดคงค้างเฉียด 4.5 แสนล้าน จากสิ้นปีก่อนที่ 2.99 แสนล้าน
จากกระแสของการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, social and governance: ESG) กำลังเป็นสิ่งที่บริษัทชั้นนำทั่วโลกให้ความสนใจมากในปีนี้และถูกนำมาบรรจุไว้ในกลยุทธ์การระดมทุนของทุกบริษัท
เพื่อสนับสนุนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์(Net Zero emission) รวมถึงมุ่งเน้นในการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อแสดงความเป็นองค์กรที่ดีของสังคม (good corporate citizen )
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) กล่าวว่า ภาพรวมตลาด ESG Bond ทั้ง Green bond, Social bond, Sustainability bond และ Sustainability-Linked Bond (SLB) ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 มีมูลค่าคงค้าง อยู่ที่ 447,730 ล้านบาท เติบโต 50% จากสิ้นปี 2564 มีมูลค่า 299,296 ล้านบาท
โดยภาครัฐเป็นผู้ออกมีสัดส่วนถึง 63% และสัดส่วน 50% เป็นการออกเสนอขาย Green bond เพื่อรีไฟแนนซ์ในโครงการลงทุนรถไฟฟ้า และ Sustainability bond ในการสนับสนุน โครงการเยียวยาโควิด และโครงการลงทุนแหล่งน้ำ
สำหรับงวด 9 เดือนแรก ปี 2565 พบว่า ESG Bond มีมูลค่าการออกรวมทั้งสิ้น 156,234 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนถึง 67% มาจากภาครัฐ มูลค่า 105,000 ล้านบาท แบ่งเป็น Sustainability bond กระทรวงการคลังออก 90,000 ล้านบาท , Social bond ธนาคารออมสิน ออก10,000ล้านบาท และ Green bond, เอ็กซิมแบงก์ มูลค่า 5,000 ล้านบาท
ส่วนอีก 33 % เป็นภาคเอกชนออกเสนอขายมูลค่า 51,234 ล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็น Green bond 9 บริษัท มูลค่า 34,334 ล้านบาท เช่น GPSC มูลค่า 12,000 ล้านบาท XPCL มูลค่า 8,395ล้านบาท ,TTB มูลค่า 3,589 ล้านบาท และออกSustainability-Linked Bond 1 บริษัท คือ BTSG มูลค่า 11,000 ล้านบาท , Sustainability bond 1 บริษัท คือ BEM 4,500 ล้านบาท และ Social bond 1บริษัท มูลค่า 1,400 ล้านบาท )
นางสาวอริยา กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการออกเสนอขาย ESG Bond จะเติบโตเพิ่มขึ้น ตามกระแส ESG เข้ามาอยู่ในกลยุทธ์ของการระดมทุนของทุกบริษัท รวมถึงภาครัฐในการดำเนินนโยบายต่างๆ ปัจจุบันความยั่งยืนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกันในเดือนที่ผ่านมาจะพบว่า เม็ดเงินการลงทุนทั่วโลกเข้าสู่การลงทุน ESG เพิ่มขึ้นต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ตลาดผันผวนเช่นนี้
ดังนั้น สมาคมฯ ยังคงเดินหน้า ผลักดัน ESG Bond โดยการจัด ESG Training และสัมมนา รวมถึงจะมีการจัดอันดับผู้จัดจำหน่ายและผู้ออกตราสาร ESG สูงสุด
นอกจากนี้จะจัดทำ Information Platform สำหรับตราสารเพื่อความยั่งยืน ทำให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลด้าน ESG ของตราสารได้สะดวกขึ้น และยังทำให้ผู้ออกตราสารระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) กล่าวว่า แม้ตลาดจะยังมีความกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องใกล้เคียงระดับ 5% แต่บอนด์ยีลด์ของไทยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า และไม่ผันผวนจนเกินไป เมื่อเทียบบอนด์ยีลด์สหรัฐ ทั้งนี้สะท้อนว่าเรายังบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าวได้ดี ส่วนนักลงทุนต่างชาติถือครองบอนด์ไทยสัดส่วน 6-8% ยังถือว่ามีเสถียรภาพ ต่อตลาดการเงินและตลาดตราสารหนี้ไทย
อย่างไรก็ตามตลาดตราสารหนี้ไทย มีกลไกที่เปิดกว้าง ให้ผู้ต้องการระดมทุนที่มีคุณภาพเข้ามาลงทุนได้มากกว่าเงินลงทุนที่เข้าเร็วออกเร็ว (Hot Money ) ปัจจุบันพบว่า กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เข้ามาระดมทุน Green bond ของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น
โดยครึ่งแรกปีนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ มีสัดส่วนการถือครอง ESG Bond ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ 17.89% เป็นอันดับ 4 รองจากนักลงทุนกลุ่มบริษัทประกัน มีสัดส่วนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ที่ 25.56% รองลงมาอันดับ 2เป็นกลุ่มธนาคาร สัดส่วน 20.16% และ อันดับ 3 เป็นกองทุน กบข. สัดส่วน 18.84%