สรรพสามิตเตรียมออกมาตรการอุดหนุนราคาแบตเตอรี่รถอีวี
สรรพสามิตเตรียมออกมาตรการอุดหนุนราคาแบตเตอรี่ หวังให้ราคารถยนต์อีวีและรวมถึงสินค้าไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เป็นส่วนประกอบลดลง โดยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิต เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการสนับสนุน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการอุดหนุนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า(อีวี)เพื่อทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ถูกลงอีก
ทั้งนี้ แนวทางการอุดหนุนราคาของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่กรมฯ กำลังพิจารณาอยู่มี 3 ระดับ คือ 1.การอุดหนุนในระดับ Cell หรือการอุดหนุนตั้งแต่กระบวนการผลิตโดยเริ่มจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตจนถึงการผลิตสำเร็จ
2.การอุดหนุนในระดับ Module ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์จะมีหลาย Module สามารถเปลี่ยนเฉพาะ Module ที่เสื่อมสภาพได้ และ 3.การอุดหนุนราคาในระดับ Pack หรือแบตเตอรี่ทั้งลูกที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้า
“การอุดหนุนราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า จะคล้ายกับการอุดหนุนราคาให้กับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าต่ำลง ใกล้เคียงกับราคารถยนต์ระบบสันดาปภายในหรือรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินอุดหนุนเท่าไรนั้น ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา”
เขากล่าวว่า การเข้าไปอุดหนุนราคาให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั้น เนื่องจาก ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั้น มีสัดส่วนคิดเป็นถึง 50% ของราคารถยนต์ไฟฟ้าทั้งคัน
นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาครัฐ จะเป็นการช่วยสร้างอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งถือเป็นซัพพลายเชนที่สำคัญของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประเทศไทยต้องการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การออกมาตรการสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ จะต้องมีการหารือกับผู้ผลิต เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย
เขายังกล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ถือเป็น New S curve ของอุตสาหกรรมของไทย ที่สอดคล้องกับนโยบายในระดับสากลที่ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม ( ESG) ด้วยการใช้พลังงานที่สะอาด ซึ่งตัวแบตเตอรี่ นอกจากจะมาใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอื่นได้อีกด้วย ดังนั้น มาตรการสนับสนุนจำเป็นต้องพิจารณาให้ครอบคลุม แต่อย่างไรก็ตามในระยะแรกจะพิจารณามาตรการสนับสนุนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก่อน
นอกจากนี้ การพิจารณาสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ จำเป็นต้องพิจารณามาตรการแก้ไขปัญหาขยะแบตเตอรี่ด้วย เพราะหากพิจารณาว่า เป้าหมายของรัฐบาล กำหนดว่า ภายในปี 2573 จะต้องมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในสัดส่วน 30% ของกำลังการผลิตรถยนต์ภายในประเทศหรือราว 6-7 แสนคัน ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีการใช้แบตเตอรี่ 6-7 แสนลูก หากแบตเตอรี่เหล่านี้เสื่อมสภาพ และกลายเป็นขยะก็จะกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ ดังนั้น จำเป็นต้องหามาตรการสนับสนุนการ Recycle แบตเตอรี่เก่าให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ประเภท BEV หลายมาตรการ มาตรการที่สำคัญคือ การให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อรถ BEV สำหรับรถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ราคาขายไม่เกิน 2 ล้านบาท และมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่น้อยกว่า 30 กิโลวัตต์ชั่วโมง จำนวนเงินอุดหนุน 70,000 บาทต่อคัน และสำหรับรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป จำนวนเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน
กรณีรถยนต์กระบะประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศ และมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ชั่วโมงขึ้นไป (เฉพาะรถยนต์กระบะที่ผลิตในประเทศเท่านั้น) จำนวนเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน และกรณีรถจักรยานยนต์ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท จำนวนเงินอุดหนุน 18,000 บาทต่อคัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์