“Move up the credit ladder and lock-in Quality yields”
ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี2022 ยังคงมีประเด็นสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตาม โดยเฉพาะครึ่งเดือนแรกไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯตัวเลขผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อตัวเลขเงินเฟ้อและการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในช่วง14-15 ธ.ค.ซึ่งประเด็นเหล่านี้จะส่งผลต่อการคาดการณ์และทิศทางของตลาดการเงินในช่วงปีหน้า
อย่างไรก็ตามเมื่อเราไปดูภาพรวมของเศรษฐกิจเราจะพบว่าตัวเลขเศรษฐกิจนั้นเริ่ม Cool-down หรือชะลอลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อดูราคาน้ำมันดิบและตลาดตราสารหนี้ก็ส่งสัญญานในทางเดียวกัน
กล่าวคือราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมากกว่า30%จากจุดสูงสุดในช่วงเดือนมี.ค.ที่มีความกังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย และยูเครนเช่นเดียวกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงเดือนที่ผ่านมา
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯอายุ10 ปี ปรับตัวลดงลงจากจุดสูงสุดที่4.33%ลงมาที่3.7% (ที่มาBloombergณวันที่29พ.ย.2022) ดังนั้นการประชุมของธนาคารกลางครั้งสุดท้ายของปีนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจว่าจะส่งสัญญานหรือเปลี่ยนแนวทางในด้านนโยบายการเงินอย่างไร ซึ่งถ้ามีการส่งสัญญานที่ผ่อนคลายมากขึ้น จะถือเป็นเรื่องเซอร์ไพร์ส และอาจจะเห็นการฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงปลายปีเป็นของขวัญให้กับนักลงทุนได้
ทั้งนี้การที่ตลาดการเงินในปีนี้ถูกกดดันจากการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลก ตามตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงอย่างมาก ซึ่งทำให้เกิดValuation reset ในทั่วทุกสินทรัพย์การลงทุนนักวิเคราะห์ของจูเลียสแบร์คาดการณ์ว่าในปี2023 จะได้เห็นการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ซึ่งคาดว่าเงินเฟ้อนั้นจะปรับลดลงมากกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนั้นจะไม่ขึ้นแรง หรือมีโอกาสถูกปรับลดลงได้เช่นกัน จึงทำให้เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากมีระดับอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจหลังราคาของตราสารหนี้ปรับตัวลงอย่างมากในปีนี้ และทำให้ตราสารหนี้นั้นกลับมาให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง(Real yield)ที่เป็นบวกอีกครั้ง(อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหมายถึงอัตราดอกเบี้ยหลังหักเงินเฟ้อ)
ที่น่าสนใจกว่านั้น คือนักลงทุนไม่จำเป็นที่ต้องรับความเสี่ยงด้านCredit riskที่สูงเหมือนเมื่อก่อน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ถ้าเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัว และรวมไปถึงโอกาสที่จะเกิดการถดถอยนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มHigh yieldที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงและให้น้ำหนักกับตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีคุณภาพดี(High investment grade bondsที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับAAหรือA) ซึ่งณปัจจุบันก็กลับมาให้อัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจซึ่งเกิดจากกา รrepricing หรือปรับราคาตามอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่สูงขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้หุ้นกู้คุณภาพดีมักจะมีอายุเฉลี่ยที่ยาวซึ่งจะมีความเสี่ยงในการรีไฟแนนซ์ (Refinancing risk)ที่ต่ำกว่าหุ้นกู้ประเภทHigh yield โดยเฉพาะถ้าเฟดท้ายที่สุดแล้ว ต้องใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวยาวนานกว่าที่คาดจะยิ่งเป็นความเสี่ยงกับบริษัทที่มีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอในการรีไฟแนนซ์
ดังนั้นการลงทุนในหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีคุณภาพดีในภาวะปัจจุบัน นอกจากได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าในอดีตแล้วยังเป็นการลดความเสี่ยงด้านCreditและเพิ่ม Durationให้ยาวขึ้น ซึ่งจะได้ประโยชน์มากขึ้นถ้าอัตราดอกเบี้ยเกิดมีการปรับลดลง อย่างไรก็ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการบริหารสภาพคล่องระยะสั้นยังสามารถลงทุนในหุ้นกู้ในระดับLow investment grade (Credit rating BBB) ที่มีอายุคงเหลือในระยะสั้นได้เช่นกัน ทั้งนี้การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ที่สนใจจะลงทุนควรติดต่อเพื่อสอบถามและรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน เพื่อศึกษารายละเอียดและเฟ้นหาการลงทุนที่เหมาะสมกับท่าน