สแกน‘หุ้นโลกปี 66’ ที่น่าลงทุน พร้อมส่อง4กองทุนหุ้นโลกผลตอบแทนยังเขียว

สแกน‘หุ้นโลกปี 66’ ที่น่าลงทุน พร้อมส่อง4กองทุนหุ้นโลกผลตอบแทนยังเขียว

แม้สินทรัพย์ลงทุนปรับตัวลงทั่วโลก แต่บรรดากองทุนต่างส่งสัญญาณ ในปี 66 ยังโอกาสลงทุนกระจายตัว แนะนักลงทุน ช่วงชิงความได้เปรียบจากทุกมุมโลก หุ้นไทย-หุ้นจีน-หุ้นเวียดนาม-หุ้นญี่ปุ่น-หุ้นเฮลธ์แคร์สหรัฐ พบมี4กองทุนหุ้นโลกโชว์ผลตอบแทนยังเขียว SCBGEARA นำโด่ง 5.02%  

สตาร์ตอัปสัญชาติไทย ที่มีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหารมากที่สุดในประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีหลากปัจจัยกดดันตลาดการลงทุน ทำให้ราคาสินทรัพย์ ปรับตัวลงทั่วโลก นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ดัชนี S&P500 ปรับลดลงมาแล้ว -14.39% ขณะที่ ดัชนี CSI300 ของจีนปรับลดลง  -22.01%  

แต่จากการสำรวจดังกล่าวจัดทำโดย สำนักข่าวบลูมเบิร์ก พบว่า 71% ของผู้จัดการกองทุนที่ได้รับการสำรวจครั้งนี้เชื่อมั่นว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก จะฟื้นตัวในปี 2566 และมีเพียง 19% เท่านั้นที่คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะอ่อนแรงลงในปีดังกล่าว

 

สแกน‘หุ้นโลกปี 66’ ที่น่าลงทุน พร้อมส่อง4กองทุนหุ้นโลกผลตอบแทนยังเขียว

 

ผลสำรวจยังระบุด้วยว่า ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่คาดว่าตลาดหุ้นทั่วโลก จะปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 10% ในปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับสถิติการฟื้นตัวโดยเฉลี่ยของดัชนี MSCI All-Country World Index อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวยังน้อยกว่าในปี 2552 และปี 2562 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งขึ้นแข็งแกร่งถึง 30% และ 20% ตามลำดับ

ราคาสินทรัพย์ ที่ร่วงลงทั่วโลกได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน จนไม่กล้าลงทุนต่อหรือรอคอยให้ตลาดลงต่ำสุดก่อน เพื่อหวังว่าจะเจอจังหวะ ที่ดีที่สุดในการเข้าลงทุน บางรายตัดใจเทขายหุ้นทิ้ง เพราะเกรงว่า ราคาจะลงไปมากกว่าเดิม ซึ่งนั่นอาจจะทำให้สถานการณ์ ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม และทำให้นักลงทุนมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

 

 

ในปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสลงทุน ที่น่าสนใจที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามอยู่ที่ตรงไหนบ้าง 

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า "โอกาส 1 ตลาดตราสารหนี้ฟื้นรอดได้ด้วยหุ้นกลุ่ม Health Care หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” 

โดยในช่วงต้นปีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หลังจากได้ปรับลงอย่างรุนแรงในปีนี้ จนตลาดคาดว่าในปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25%  ซึ่งเป็นระดับที่สูงและอาจกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ ดังนั้นอาจจะเห็นเฟดส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในปลายปี 2566 ซึ่งจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง จะเป็นช่วงโอกาสทองของตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ และตราสารหนี้เอกชนที่มีคุณภาพหรือ Investment Grade ซึ่งนักลงทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคง

นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังมีแรงกดดันเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อยู่ ตลาดหุ้นในปีหน้าอาจจะไม่ได้หวือหวามากนัก แต่ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่สามารถ ต่อสู้กับเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอยได้ อย่างหุ้นกลุ่มสุขภาพ (Health Care) หรือหุ้นเมกะเทรนด์อย่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับลดลงมามากในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2656 ดัชนีNasdaq ปรับลดลงมาแล้ว -26.70% จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะเข้าลงทุนเพื่อรับเมกะเทรนด์ในอนาคต

ข้ามมาที่กลุ่มประเทศในเอเชีย “โอกาสที่ 2 หุ้นจีน จะเห็นไทม์ไลน์สำคัญอย่างการผ่อนคลาย มาตราการ ZERO COVID ด้วยการเปิดประเทศจีน ที่จะเป็นแรงหนุนสำคัญ ให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ในภาพรวม ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปิดเมือง ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงไปกว่า -22.01% ในปีนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง และยังจะส่งอานิสงส์ไปถึงตลาดหุ้น ทั่วโลกให้ฟื้นกลับมาได้ด้วย 

ดังนั้นนักลงทุนควรเริ่มสะสมหุ้นจีนตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุนครั้งใหญ่ได้

“โอกาสที่3 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น” ที่กำลังจะเริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศในปีนี้ จะได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นได้ในปีหน้า 

“โอกาสที่ 4 ตลาดหุ้นไทย” นอกจากนี้ท่องเที่ยวฟื้นแล้ว การเลือกตั้งปี2566 หนุนกำลังซื้อในประเทศ ให้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ เพราะการเลือกแต่ละครั้ง ย่อมมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง 

“ตลาดหุ้นไทยและญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งลงทุนที่มีเสถียรภาพ เหมาะที่จะนำมาสร้างสมดุลให้กับพอร์ตลงทุนได้” 

“โอกาสที่5 หุ้นเวียดนาม" ยังเป็นอีกตลาดที่นักลงทุนห้ามพลาด ด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลงตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ปรับลดลงไปแล้ว -30.03% ทำให้ P/E Ratio อยู่ที่ 10.8 ถือว่าราคาค่อนข้างถูก เมื่อพิจารณาจากความต้องการลงทุนเพื่อย้ายฐานการผลิต ด้วยค่าแรงต่ำ และประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล จะทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ และเป็นดาวเด่นได้ในระยะยาว

นายตราวุทธิ์ แนะนำว่า  ในแต่ละช่วงเวลาของปี 2566 จะมีโอกาสการลงทุนที่กระจาย อยู่ทั่วทุกมุมโลก หากที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปกับการรอ นั่นเท่ากับเรากำลังพลาด โอกาสที่เงินจะงอกเงย

การลงทุนที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจับจังหวะที่ดีที่สุด เพราะเราจะไม่มีทางทายถูก ได้ตลอดว่าจุดต่ำสุด จะอยู่ที่จุดไหนดังนั้น ‘ฤกษ์ที่ดีที่สุด’ สำหรับการลงทุนคือ ‘เลิกรอ’ ไม่พลาดโอกาสลงทุนทั้งในไทย และต่างประเทศได้ตั้งแต่วันนี้ด้วยแผนการลงทุนที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง จากทั่วโลก ทั้งหุ้น หุ้นกู้ และพันธบัตรรัฐ

สแกน‘หุ้นโลกปี 66’ ที่น่าลงทุน พร้อมส่อง4กองทุนหุ้นโลกผลตอบแทนยังเขียว

มอร์นิ่งสตาร์ เผย กองทุนหุ้นโลก มี 4 กองทุนผลตอบแทนยังบวก

ขณะที่ทางด้านผลตอบแทนกองทุนหุ้นโลกตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ณ (13 ธ.ค.2565) ทางมอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ชประเทศไทย ระบุว่า  กองทุนหุ้นโลกมีผลตอบแทนที่ยังเป็นบวกมีเพียง4กองทุน ส่วนกองทุนที่เหลือให้ผลตอบแทนเป็นลบ โดยผลตอบแทนติดลบสูงสุดถึง60%

 

สำหรับ “4 กองทุนหุ้นโลก” ที่ยังทำผลตอบแทนเป็นบวกสูงสุด ดังนี้

1. กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์ โกลบอล อิควิตี้ แอพโซลูท รีเทิร์น : SCBGEARA มีผลตอบแทน 5.02%

2. กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล อิควิตี้ แอพโซลูท รีเทิร์น : UGEAR  มีผลตอบแทน 4.97% 

3. กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์ แพลทตินัม โกลบอล ฟันด์ (ชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม/บุคคล) : SCBPGFP มีผลตอบแทน 3.49% 

4.กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์ แพลทตินัม โกลบอล ฟันด์ : SCBPGF มีผลตอบแทน 2.50% 

 

กองทุนฟันธงปี66หุ้นจีน-เวียดนามมาแรงโค้งหุ้นสหรัฐ

นายวโรฤทธิ์ จีระชน Head of Investment Research บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า ในปี 66 ความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้นจะมาอยู่ที่กลุ่มตลาด EM อย่าง “ จีนและเวียดนาม” เพราะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตได้ดี 

อย่างไรก็ตาม หากลงทุนระยะยาวได้ ตลาดหุ้นเวียดนาม ก็น่าสนใจ โดยแนะนำให้ทยอย ๆ ซื้อสะสม

สำหรับตลาดพัฒนาแล้วแม้จะมีความน่าสนใจน้อยกว่า แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ราคาปรับลดลงมามากแล้ว เช่น หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงกลุ่มหุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็กที่ปกติจะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นใหญ่ในช่วงหลังจากเศรษฐกิจถดถอยผ่านพ้นไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566

“นักลงทุนสามารถรอให้ตลาดลงไปถึงจุดต่ำสุด (bottom) ก่อน แล้วเข้าไปซื้อทีหลังก็ได้ เพราะจากการศึกษาพบว่ามีโอกาสที่ดีกว่าการเข้าไปซื้อในช่วงก่อนถึงจุดต่ำสุด” 

นายชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC กล่าวว่า การลงทุนในตลาดเกิดใหม่จึงน่าสนใจ โดยตลาดอันดับแรกที่มองคือจีน ตามด้วยเวียดนาม เพราะมูลค่าหุ้นค่อนข้างดีทั้งคู่ แต่จีนมีโอกาสฟื้นตัวก่อน เพราะรอผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดเป็นศูนย์ (Zero Covid) และประชากรมีเงินออมสูงพร้อมใช้จ่ายเมื่อเปิดเมืองแล้ว โดยแนะนำให้เข้าสะสมหุ้นจีนได้ตั้งแต่ไตรมาสแรก ส่วนเวียดนามมีความน่าสนใจ เพราะมีเรื่องราวการเติบโตที่ดี แต่มีความเสี่ยงเรื่องการจัดการภายในอยู่ 

สำหรับตลาดสหรัฐ หากต้องการลงทุน ควรเน้นหุ้นเชิงรับที่การเติบโตแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานดี จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ โดยการลงทุนแบบคัดเลือกหุ้นรายตัวยังมีโอกาสที่ดีอยู่ ส่วนของหุ้นยุโรป ควรเน้นหุ้นกลุ่มโลจิสติกส์ หรือหุ้นกลุ่มที่มีรายได้หลักจากนอกยุโรป และผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ดี มากกว่าการลงทุนบนดัชนีหุ้นยุโรปโดยรวม