'บิทคับ'จับมือทองลาวา ขายทุเรียนผ่านเอ็นเอฟที

“ทุเรียน” ราชาผลไม้ ของไทย เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมสูงจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ จากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ปีที่่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกทุเรียนไทยกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันการแข่งขันตลาดทุเรียนมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่ถือว่า เป็นอีกหนึ่งคู่แข่งของไทยที่สำคัญ ล่าสุดทุเรียนไทยกำลังขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในรูปแบบใหม่สู่ตลาด NFT Marketplace หรือตลาด NFT ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยบิทคับ เวนเจอร์สจับมือกับ ทุเรียนภูเขาไฟ ทองลาวา จากจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผลิตภัณฑ์ทุเรียนพรีเมียมแกะเนื้อ และทุเรียนแปรรูป เป็นต้น 

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับแคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เปิดเผยว่า การจับมือร่วมกับทุเรียนทองลาวาถือเป็นความแปลกใหม่ เพราะเป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทย เพื่อต้องการสร้างโอกาสให้กับเกษตรกรไทย และสร้างโอกาสให้กับธุรกิจ SME กับชาวไร่ ชาวสวน เพื่อที่จะได้มีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น และต้องการจะส่งออกซอฟเพาเวอร์ไทยออกสู่ต่างประเทศมากขึ้น เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมทุเรียนไทยไปสู่อนาคต และที่สำคัญที่การช่วยในเรื่องของ ESG ด้วย

ทั้งนี้ปัจจุบันทุเรียนไทยมีดีมานด์เพิ่มขึ้นในทุกๆปีจากลูกค้าชาวจีน ซึ่งการที่บิทคับเข้ามาจับมือกับทองลาวา เพื่อต้องการต่อยอดพัฒนาในเรื่องของแบรนด์ดิ้ง มาร์เก็ตติ้ง เทคโนโลยี และคอนเน็กชั่น ที่จะสนับสนุนให้ทุเรียนไทยทองลาวาเป็นเหมือนไวน์ของฝรั่งเศสที่เป็นทุเรียนพรีเมี่ยม โดยใช้บล็อกเชนเทคโลยีเข้ามาช่วย โดยการนำเข้าสู่ตลาด NFT ในรูปแบบของการสั่งพรีออเดอร์ ซึ่งถือว่าเป็น Use Cases แรกของไทย

นางสาวเนาวรัตน์ ธรรมสวยดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ในปีหน้าตั้งเป้าจะนำผลิตภัณฑ์ทุเรียนทองลาวาส่งออกไปยังประเทศจีนเป็นที่แรก โดยตั้งเป้าไว้เบื้องต้นในส่วนของทุเรียนแกะเนื้อแล้วประมาณ 100 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 200 – 300 ล้านบาท นอกจากนี้ช่วงแรกบิทคับจะช่วยเข้ามาดูในเรื่องของช่องทางการจัดจำหน่ายให้เพิ่มเติม เนื่องจากว่า เป็นผลิตภัณฑ์จากชาวไร่ ชาวสวน ที่ปัจจุบันยังมีช่องทางการขายไม่มากนัก รวมถึงการสร้างแบรนดิ้งเพื่อให้ออกสู่ระดับสากลต่อไป

นางสาวบงกชกัลยาณ์ แก้วสุวรรณานนท์ ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท ทองลาวา อินเตอร์กรุ๊ป เจ้าของแบรนด์ทองลาวา กล่าวว่า สาเหตุที่เข้ามาจับมือกับบิทคับในการเข้ามาสนับสนุนในครั้งนี้ เพราะมองว่าจะสามารถช่วยขยายตลาดไปสู่วงกว้างได้มากขึ้น ร่วมถึงการต่อยอดสร้างแบรนด์ในอนาคตด้วย โดยในปีหน้าจะทำการุกตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นประมาณ 70% และที่เหลืออีก 30% เป็นการทำตลาดในไทย