ลงทุน ‘ตราสารหนี้สหรัฐ-หุ้นกู้คุณภาพ’อนาคตดีปีหน้า ติดพอร์ตไว้ปลอดภัย
เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายปลายปีกันแล้วนักลงทุนทุกท่าน แม้ถนนการลงทุนจะอยู่ในสภาพลุ่มๆ ดอนๆ แทบตลอดทั้งปี 2565 แต่หวังว่าทุกท่านยัง Stay invest ไปด้วยกันปีหน้าฟ้าใหม่ ยังมีโอกาสการลงทุนดีๆ รอเราอยู่ หนึ่งในนั้นคือ “ตลาดตราสารหนี้”
แม้ว่า ในปีนี้ "ตลาดตราสารหนี้" สุดบอบช้ำ ถือเป็นปีแห่งการตกต่ำที่สุด
สาเหตุหลักก็มาจากการขึ้นดอกเบี้ยอย่างร้อนแรงของเฟดนั่นเอง หลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอย่างโหด 0.75% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 ข้อมูลจาก Bank of America ระบุว่า Bond yield ของกองทุนตราสารหนี้ทั่วโลกดำดิ่งลงมาและทำสถิติเลวร้ายที่สุดในรอบ 73 ปี
นอกจากนี้การขึ้นดอกเบี้ยอย่างร้อนแรงของเฟด ยังส่งผลให้ “กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก” เทขายตราสารหนี้ทุกระยะเวลา ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ออกมาเป็นมูลค่ามากกว่า 2.5 แสนล้านบาท และถือครองเงินสด หากรวมกับแรงขายกองทุนหุ้น ทำให้กองทุนเหล่านี้ถือครองเงินสดเป็นมูลค่าสูงกว่า 1.12 ล้านล้านบาท
จากแรงกระแทกจากการขึ้นดอกเบี้ยโหดของเฟด ยังส่งผลต่อปรากฏการณ์ Inverted yield curve ในตลาดบอนด์อีกด้วย นั่นคือ “อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวไหลลงต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น” หรือกลับข้างกันนั่นเอง สาเหตุเพราะ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจระยะข้างหน้าสะท้อนถึงความกลัวที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ณ สิ้นเดือนต.ค. ที่ผ่านมานี้ ส่วนต่างของบอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปีและ 2 ปีนั้น กว้างมากขึ้นเป็น 0.68% ซึ่งหากเทียบกับในอดีตต่างกันมากๆ พบว่า เคยเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยก่อนปี 2001 โดย Inverted ของบอนด์ยีลด์ราว0.65%
“ตราสารหนี้” อนาคตดีปีหน้า
แต่เมื่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มอ่อนตัวลง จนเฟดลดความร้อนแรงในการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายของปี 2565
และส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย หลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยถึง 5.1% ในปี 2566 ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายที่เฟดต้องการคือช่วง 5.00-5.25%
เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับนี้ไว้ก่อน เพื่อรอดูผลต่อเศรษฐกิจ และนี่คือสัญญาณที่บอกว่า การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในรอบนี้อาจ ‘สิ้นสุดทางเลื่อน’ แล้ว
แม้เฟดบอกว่า ปี 2566 จะยังไม่ลดดอกเบี้ย แต่ได้ให้ไทม์ไลน์ในการปรับลดดอกเบี้ยมาแล้ว ว่าจะเริ่มขยับดอกเบี้ยลงในปี 2567 ประมาณ 1% มาอยู่ที่ 4.1% และต่อเนื่องในปี 2568 อีก 1% มาอยู่ที่ 3.1% เพื่อเป็นแนวทางในการลดดอกเบี้ยระยะยาวให้ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.5%
อย่างไรก็ตามเฟดก็แอบมีดอกจันทน์ไว้ว่า ถ้าเศรษฐกิจถดถอยมากว่าที่คาดดอกเบี้ยก็สามารถลดลงได้มากกว่านี้
“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ มองว่า ความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดตราสารหนี้เริ่มลดลง และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะข้างหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนก็ลดลงมามากแล้ว และหากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย จะหนุนให้ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นได้
ล่าสุด ในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ราคาตราสารหนี้โลกสามารถโชว์ผลตอบแทนที่เป็นบวกได้กว่า 3% หลังรับข่าวดีเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เริ่มชะลอตัวลง และสิ่งที่ตลาดทำนายไว้ว่าเฟดจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมเพียง 0.5% ยังเป็นจริงตามคาดอีกด้วย
ดังนั้นในช่วง 1 เดือนก่อนหน้า ก่อนที่ผลการประชุมเฟดจะออกมา ผลตอบแทนจากตลาดตราสารหนี้ก็บวกรับข่าวดีนำไปก่อนแล้ว โดยราคาพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.3%, ตราสารหนี้สหรัฐในรระดับ Investment Grade เพิ่มขึ้น5.9%, และหุ้นกู้ผลตอบแทนสูงของสหรัฐฯ ปรับเพิ่ม 2.8%
“มองว่าในปีหน้า เศรษฐกิจโลกจะมีโอกาสลงทุนที่น่าสนใจที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม โดยในช่วงต้นปีหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หลังจากได้ปรับลงอย่างรุนแรงในปีนี้ จนตลาดคาดว่าในปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25% ซึ่งเป็นระดับที่สูงและอาจกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ ดังนั้นอาจจะเห็นเฟดส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในปลายปี 2566 เพื่อลดแรงกดดันทางเศรษฐกิจลง”
แนะจังหวะดบ.ทรงตัว-ลดลง เป็นโอกาสทอง"ตราสารหนี้"
“ตราวุทธิ์” แนะนำว่า จังหวะที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวและมีแนวโน้มปรับลดลง จะเป็นช่วงโอกาสทองของตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐ และตราสารหนี้เอกชนที่มีคุณภาพ หรือ Investment Grade
โดยนักลงทุนสามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเฟดเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างที่คาดไว้จริงไม่ว่าจะเป็นปลายปี 2566 หรือ 2567 เท่ากับว่าตราสารหนี้ที่เราลงทุนไว้ตั้งแต่ต้นปีจะเป็นระดับผลตอบแทนที่สูงหรือพีคแล้วจริงหรือไม่ ทีนี้ ลองนึกภาพตามว่า ตราสารหนี้ที่เราถือไว้เหล่านั้นจะเป็นที่ต้องการแค่ไหน
ETF ทางเลือกลงทุนตราสารหนี้คุณภาพ
สำหรับนักลงทุนที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่มั่นใจว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางดอกเบี้ยจะเป็นไปดังภาพที่วาดไว้หรือไม่ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่สูง การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในปีหน้าที่ให้ผลตอบแทนในระดับ 4-5% แม้จะเทียบกับหุ้นไม่ได้แต่ผลตอบแทนระดับนี้ก็ถือว่าไม่น้อยเลยจริงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ต่ำมากถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว ขอย้ำว่าต้องเป็นตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Investment Grade เท่านั้น
ปัจจุบันการลงทุนตราสารหนี้เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีและได้ความมั่นคงปลอดภัยด้วย ก็สามารถทำได้ผ่านกองทุนรวมดัชนี หรือ ETF (Exchange Trade Fund) ถือเป็นทางเลือกที่ช่วยกระจายความเสี่ยงที่น่าสนใจ ซึ่ง ETF เป็นกองทุนแบบ passive ที่เน้นสร้างผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีที่อ้างอิง
ในตลาดสหรัฐฯ ETF ได้รับความนิยมจากนักลงทุนค่อนข้างมาก จึงมีกองทุนให้เลือกหลากหลาย ครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ลงทุน และกองทุนที่คัดสรรการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั้งพันธบัตรสหรัฐฯ และหุ้นกู้เอกชน มีให้เลือกอยู่พอสมควรเช่น
- iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้คุณภาพดีในระดับ Investment Grade ของสหรัฐฯ
- iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF ซึ่งลงทุนเฉพาะในหุ้นกู้ Investment Grade ของสหรัฐฯ
ที่สำคัญทั้ง 2 กองทุนเริ่มโชว์ผลตอบแทนที่ดีขึ้น นั่นคือ ติดลบน้อยลงสำหรับการลงทุนในช่วงสั้น และผลตอบแทนที่เป็นบวกมากขึ้นสำหรับระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้น
ทางด้านผลตอบแทน iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF โชว์ตัวเลขผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี -12.79% ในเดือนพ.ย. เทียบกับ-14.58% เมื่อเดือนก.ย.ส่วนอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี ในเดือนพ.ย.อยู่ที่ 0.17% เพิ่มขึ้นจาก -0.31% ในเดือนก.ย.
ทางด้าน iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ในเดือนพ.ย. -17.31% เทียบกับ -21.02% ในเดือนกันยายน ขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี เดือนพ.ย. อยู่ที่0.63% เพิ่มขึ้นจาก -0.32% เมื่อเดือนก.ย.
เมื่อเห็นตัวเลขที่โน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว อาจทำให้นักลงทุนมีความหวังขึ้นได้บ้าง แต่หากยังตะขิดตะขวงใจกับตัวเลขที่ติดลบอยู่ ก็อาจค่อยๆ ทยอยลงทุนได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน
จัดพอร์ตตราสารหนี้20% รับผลตอบแทนเพิ่มพร้อมความมั่นคง
โดยนักลงทุนสามารถจัดพอร์ตด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อย่างหุ้นสามัญและตราสารหนี้ ตามทฤษฎีที่ได้รับรางวัลโนเบลอย่าง Modern Portfolio Theory ที่จะช่วยให้พอร์ตของคุณทนทานต่อความผันผวนที่เกิดขึ้นได้เพราะเป็นทฤษฎีที่อธิบายว่าการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทที่ราคาไม่ได้เคลื่อนไหวในทิศทางทางเดียวกันจะทำให้ ‘มูลค่าพอร์ตลงทุนของคุณผันผวนต่ำลงมาก’
เช่น ผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้มากอาจลงทุนแบบพอเพียงด้วยสัดส่วนตราสารหนี้ 80% หุ้น 20% หรือความเสี่ยงได้ปานกลาง ก็เลือกลงทุนตราสารหนี้ 50% หุ้น 50% แต่หากรับความเสี่ยงสูงสุดชอบหุ้นที่ผลตอบแทนเต็มที่อยากให้ลองเปิดใจกับตราสารหนี้ 20% ก็จะไม่พลาดโอกาสที่มาพร้อมความมั่นคงแน่ๆ
เปิด 5 อันดับ กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก ผลตอบแทนสูงสุด
สำหรับ มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) รายงาน
“กองทุนตราสารหนี้ทั่วโลก” ผลตอบแทนสูงสุด 5 อันดับแรก ณ 22 ธ.ค. 2565 ดังนี้
1. กองทุนเปิด เค มัลติ-สตราทีจี บอนด์ ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย : K-MBOND มีผลตอบแทน 7.14%
2. กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ตราสารหนี้ระยะสั้น : TUSFIX มีผลตอบแทน 5.21%
3. กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์ ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศ : SCBFST มีผลตอบแทน 4.85%
4.กองทุนเปิด ยูไนเต็ด ฟิกซ์ อินคัม ฟันด์ ออฟ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อผู้ลงทุนนิติบุคคล : UFFF-I มีผลตอบแทน-1.44%
5. กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ตราสารหนี้ต่างประเทศพลัส ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย-R : ASP-FFPLUSR มีผลตอบ-1.54%
“สุรเดช เกียรติธนากร” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ.กสิกรไทย มองว่า การลงทุนตราสารหนี้น่าสนใจในปีหน้า เนื่องจาก การปรับนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มใกล้ถึงจุดสูงสุดของวัฎจักรโดยส่งสัญญาณการปรับดอกเบี้ยในระยะถัดไปที่ลดอัตราลง ประกอบกับ Flight to quality จากโอกาสการเกิดRecession ที่อยู่ระดับสูง ส่งผลดีต่อตราสารหนี้ภาครัฐ
ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี Investment Grade ที่ปรับสูงขึ้นตามดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ประกอบกับแนวโน้ม Flight to quality หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้น่าสนใจกว่าโดยเปรียบเทียบกับ High Yield
ทั้งนี้ ตลาดตราสารหนี้ปัจจุบัน สะท้อนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตไปมากแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้จึงมีความน่าสนใจมากขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง และราคาอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่ทยอยปรับขึ้นมา แต่อาจมีความผันผวนในบางขณะได้
ทั้งนี้ การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจได้บนระดับความผันผวนที่ไม่สูง แต่หากรับความเสี่ยงได้มากขึ้น แนะนำให้รอดูจังหวะเข้าสะสมกองทุนตราสารหนี้กลาง-ยาว ซึ่งอาจมีความผันผวนอยู่แต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น