กรมธนารักษ์เล็งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมสแกนที่ราชพัสดุ

กรมธนารักษ์เล็งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมสแกนที่ราชพัสดุ

กรมธนารักษ์เตรียมจับมือจิสดาขอใช้ภาพถ่ายดาวเทียมช่วยสแกนที่ราชพัสดุ เพื่อให้การใช้พื้นที่ตรงตามสัญญาเช่า ระบุ พื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ควรมีผลตอบแทนที่ 3% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1% ขณะที่ ยืนยันไม่มีนโยบายปรับขึ้นค่าเช่าเพื่อการเกษตรและเพื่ออยู่อาศัย

นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารกษ์ เปิดเผยว่า นโยบายปี 66 กรมฯมีแผนลงสำรวจเพื่อพัฒนาการจัดเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุทั่วประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกำลังหารือกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสดา เพื่อขอความร่วมมือในการนำข้อมูลภาพถ่ายทางดาวเทียมมาช่วยสำรวจที่ราชพัสดุว่ามีการใช้งานตรงตามสัญญาหรือไม่

ทั้งนี้ ข้อมูลภาพถ่ายทางดาวเทียมดังกล่าว จะมีระบบแบ่งสีของตามการใช้งาน เช่น ที่อยู่อาศัย การเกษตร และพาณิชย์อุตสาหกรรม ซึ่งกรมฯสามารถตรวจสอบได้ว่า มีการใช้ประโยชน์ถูกต้องตามที่มาขออนุญาตเช่าหรือไม่ เช่น  ที่แปลงไหนเคยเป็นสัญญาเป็นที่อยู่อาศัย หรือเพื่อการเกษตร แต่ต่อมาไปใช้งานเป็นเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรม ก็จะต้องมาทำสัญญาใหม่ และคิดค่าเช่าเป็นเชิงพาณิชย์แทน เพราะค่าเช่าที่อยู่อาศัยราคาจะถูกกว่าเชิงพาณิชย์มาก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ธนารักษ์ที่มีบุคลากรจำกัดได้

อย่างไรก็ตาม กรมฯยืนยันว่าจะไม่มีการปรับขึ้นค่าเช่า ที่ราชพัสดุที่ปล่อยเช่าเพื่ออยู่อาศัย และการเกษตร เพราะเป้าหมายกรมฯ ต้องการดูแลผู้มีรายได้น้อย ให้มีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอยู่แล้ว แต่ในส่วนของที่ราชพัสดุที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม อาจจะทบทวนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (อาร์โอเอ) ของค่าเช่าที่ราชพัสดุให้เพิ่มขึ้นในอนาคต

ปัจจุบันกรมฯมีที่ราชพัสดุจำนวน 12.7 ล้านไร่ โดยให้ส่วนราชการใช้งาน 10.5 ล้านไร่ และให้เช่าในรูปแบบต่างๆ 9.4 แสนไร่ แบ่งเป็นให้เช่าเพื่อการอยู่อาศัย 9.5 หมื่นไร่ ให้เช่าเพื่อทำการเกษตร  5.3 หมื่นไร่  และส่วนที่ราชที่เช่าเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม 2.8 หมื่นไร่

นายจำเริญกล่าวว่า ภายในปี 66 นี้ กรมฯจะพิจารณาดูว่า ผลตอบแทนค่าเช่าที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่ปัจจุบันมี 1.14% ของรายได้กรมนั้น เหมาะสมหรือไม่ หรือควรจะต้องมีการปรับปรุง ซึ่งกรมฯวางเป้าหมายว่า ค่าเช่าที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ควรอยู่ที่ 3% ของรายได้ แต่ที่ผ่านมาเก็บได้เฉลี่ยเพียง 1%  ซึ่งถ้าเศรษฐกิจดีก็อาจจำเป็นต้องค่อยๆขยับขึ้น

ส่วนที่ราชพัสดุที่ให้ส่วนราชการนั้น หากใช้งานเพื่อราชการก็จะไม่มีการเก็บค่าเช่า แต่หากนำที่ไปใช้เชิงพาณิชย์ เช่น ปล่อยทำตลาดนัด ทำปั๊มน้ำมันก็สามารถทำได้ แต่จะต้องเก็บค่าเช่าแล้วส่งมาให้กรมฯด้วย โดยขณะนี้กรมฯได้ประชาสัมพันธ์ไปยังหน่วยงานต่างๆ มาเข้าระบบ ซึ่งหลายหน่วยงานก็ทยอยกำลังเข้าสู่ระบบการจ่ายค่าเช่าแล้ว  ส่วนกรณีเรียกคืนที่ราชพัสดุที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือผิดวัตถุประสงค์จากหน่วยงานราชการนั้น ได้ดำเนินการทำอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับการพิจารณาต่อสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงสำคัญในช่วงนี้ จะมีที่ราชพัสดุที่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เช่าอยู่ที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบันเหลือสัญญาอีก 11 ปี แต่ทางบางจาก ต้องการขอขยายเวลาสัญญาเช่าออกไปอีก 30 ปี ทางคณะกรรมการที่ราชพัสดุ จึงให้กรมฯ ไปศึกษาว่า การขยายเวลาสัญญามีความเหมาะสมหรือไม่ จากปัจจุบันกรที่มีสัญญาให้ปรับค่าเช่าแบบขั้นบันไดขึ้น 9%ทุก 3 ปี