เปิด 10 อันดับกองทุน ‘ผลตอบแทนพุ่งแรงสุด’ รอบปี 65
ปิดสิ้นปี2565 “กองทุน” ที่ทำผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับ กองทุน KT-ENERGY ผลตอบแทนนำโด่ง 40.79% พบกลุ่มกองทุนน้ำมันติดโผถึง6 กองทุน และที่สำคัญการลงทุน” หุ้นเทคฯ หุ้นญี่ปุ่น หุ้นไทย well -being หุ้นโรงพยาบาลและการแพทย์” ทำผลตอบแทนกองทุนตีตื่นกลับมาได้โดดเด่น
การลงทุนในช่วงปิดปี2565 โดยเฉพาะฝั่งเอเซียรวมถึงประเทศไทย ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง หลังจากรับสัญญาณเชิงบวกจากจีนกำลังทยอยเปิดประเทศ และกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะกลุ่มหุ้น "Value stocks" ยังทำผลงาน Outperform ตลาดในปีนี้
ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อน หุ้นกลุ่ม Value ซึ่งมักเป็นหุ้นที่จะเติบโตได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วแต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในปัจจุบันทั้งอัตราการว่างงานที่ต่ำ เงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงต่อภาวะ Recession ทำให้หุ้นกลุ่ม Value อย่างเช่น สายการบิน ผู้ผลิตเหล็ก และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Commodity-based ราคาหุ้นกลับเอาชนะตลาดได้ในปีนี้
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานอีกหนึ่ง Sector ที่ปรับขึ้นได้ดีอาจเป็นผลมาจากสงครามในยูเครน-รัสเซียที่กระทบต่อตลาดพลังงาน ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Energy ในดัชนี Morningstar US Value Index ปีนี้ให้ผลตอบแทน 53.9% รองลงมาเป็น Healthcare 9.6%
10 อันดับกองทุนมีผลตอบแทนสูงสุด ในปี 2565 ดังนี้
จากการสำรวจรายงานการจัดอันดับกองทุนของ "มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)" ณ 31 ธ.ค. 2565 พบว่า
1 . กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เอ็นเนอร์จี ฟันด์ : KT-ENERGY ผลตอบแทน 40.79%
2. กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล ออยล์ ฟันด์ : I-OIL ผลตอบแทน 23.99%
3. กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทน : I-10 ผลตอบแทน 23.85%
4. กองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ทริกเกอร์ 8% #6 : TOIL6 ผลตอบแทน 22.03%
5. กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ออยล์ : TUSOIL ผลตอบแทน 21.67%
6. กองทุนเปิดเค Global Tech PE 20A ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย : K-GTPE20A-UI ผลตอบแทน 18.24%
7. กองทุนเปิดแอสเซทพลัสนิปปอนโกรท : ASP-NGF ผลตอบแทน 15.01%
8. กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทย Well-being ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป : TISCOWB-A ผลตอบแทน 14.16%
9. กองทุนเปิด วรรณ โฮสพีทอล : ONE-HOSPITAL ผลตอบแทน 13.67 %
10. กองทุนเปิดทหารไทยออยล์ฟันด์ : TMBOIL ผลตอบแทน 11.63%
ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว พบว่า กลุ่มกองทุนน้ำมัน มีถึง 6 กองทุน แต่จำนวนกองทุนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ติดโผทั้ง 10 อันดับผลตอบแทนสูงสุด สำหรับผลตอบแทนกองทุนรอบปี 2565 เริ่มชะลอตัวลงบ้างตามทิศทางราคาน้ำมันโลกปรับลดลง แต่ปิดสิ้นปี2565 ราคาน้ำดิบดูไบ ยังยืนอยู่ระดับสูง ระดับ90-100ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แนวโน้มราคาน้ำมันโลกในปี 2566
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT คาดการณ์ว่า ราคาน่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดย ราคาน้ำมันดิบดูไบ จะอยู่ที่ระดับ 85-95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากความเสี่ยงสงครามในยูเครน-รัสเซีย ยังความไม่แน่นอน มีผลกระทบต่อตลาดพลังงานในตลาดโลก นอกจากนี้จะเห็นการลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแห่งอนาคต อย่าง พลังงานทางเลือก มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
หากสำรวจนโยบายการลงทุน "กลุ่มกองทุนน้ำมัน" ที่ทำผลตอบแทนสูงสุดรอบปี2565 พบว่า แต่ละกองมีการลงทุนที่แตกต่างกัน ดังนี้
- กองทุนน้ำมัน : กองทุน KT-ENERGY มีนโยบายการลงทุนหน่วยลงทุนของกองทุน BGF World Energy Fund
-กองทุน I-OIL กองทุนมีนโยบายลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ Feeder Fund คือ กองทุน United States Oil Fund LP (USO) ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NYSE Arca ซึ่งซื้อขายโดยใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ซึ่งบริหารและจัดการโดย United States Commodity Funds, LLC โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์ที่อ้างอิงกับราคาน้ำมันดิบคุณภาพดี (light, sweet crude oil) น้ำมันดิบประเภทอื่น ดีเซลหุงต้ม น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ และเชื้อเพลิงปิโตรเลียมอื่นๆ ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NYMEX, ICE Futures Exchange หรือตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและในต่างประเทศ
-กองทุน I-10 มีนโยบายการลงทุน นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแบบดั้งเดิมและพลังงานทางเลือก (Traditional Energy and Alternative Energy) ทั้งทางตรงและทางอ้อม
-กองทุน TOIL6 และกองทุน TUSOIL มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United States Oil Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ
- กองทุน TMBOIL มีนโยบายการลงทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Invesco DB Oil Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange : NYSE Arca) ที่มีนโยบายลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี DBIQ Optimum Yield Crude Oil Index Excess Return TM ซึ่งเป็นดัชนีที่มุ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) กองทุนดังกล่าวบริหารจัดการโดย Invesco PowerShares Capital Management LLC
ขณะเดียวกันพบว่า กลุ่มหุ้นทั่วโลกและหุ้นไทยที่กลับมาทำผลตอบแทนโดดเด่นอีกครั้ง และหนุนผลตอบแทนกองทุนเป็นบวกติดท็อปเท็นในรอบปีนี้ นำโดย "กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี" รองลงมาเป็น " หุ้นไทยwell-being หุ้นญี่ปุ่น หุ้นโรงพยาบาลและการแพทย์" ดังนี้
สำหรับหุ้นเทคโนโลยี : กองทุน K-GTPE20A-UI มีนโยบายการลงทุน ที่จะลงทุนในหน่วย private equity ต่างประเทศ โดยไม่จำกัดอัตราส่วน ผ่านการลงทุนในกองทุน LOIM PE K Investments – K Tech Fund (กองทุนย่อย) ซึ่งเป็นกองทุนย่อย (Compartment) ของ LOIM PE K Investments (กองทุนหลัก)
โดยกองทุนย่อยมีนโยบายลงทุนในกิจการของบริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Private Companies) และอาจลงทุนในทรัพย์สิน Private Equity อื่น เช่น กองทุน Private Equity ที่ซื้อขายในตลาดรอง โดยจะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีหรือหมวดอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี และกองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
หุ้นญี่ปุ่น : กองทุน ASP-NGF มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Nippon Growth (UCITS) Fund ซึ่งบริหารและจัดการโดย E.I. Strategic Management Limited เพียงกองทุนเดียว
หุ้นไทย well-being : กองทุนTISCOWB-A มีนโยบายการลงทุน หุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานดี มั่นคงมีแนวโน้มการ เจริญเติบโตทางธุรกิจ เน้นลงทุนหุ้นในดัชนี SET Well-being (SETWB)
หุ้นโรงพยาบาลและการแพทย์ : กองทุนONE-HOSPITAL มีนโยบายการลงทุนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนในตราสารแห่งทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก ของบริษัทหรือธุรกิจที่มีแนวโน้มหรือปัจจัยพื้นฐานดีในอุตสาหกรรมหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลและทางการแพทยทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ