จับตา ‘ทองคำ’ พุ่งทะลุแนวต้าน ลุ้นปีนี้แตะ 2,000 ดอลลาร์   

จับตา ‘ทองคำ’ พุ่งทะลุแนวต้าน  ลุ้นปีนี้แตะ 2,000 ดอลลาร์   

"ราคาทองคำโลก” ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากสุดสัปดาห์ เนื่องจากยังคงได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์

หลังสุดสัปดาห์ราคาทองคำดีดตัวขึ้นจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐได้ตอกย้ำคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย ด้านทองไทยเปิดตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำ และ นักลงทุนทองคำ กำลังเฝ้าจับตา 4 ปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางราคาทองคำ ได้แก่  

1. Fed Policy Mistake ทำเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงถดถอย 

2. เฟดอาจจำต้องเปลี่ยนแปลงจุดยืนด้านนโยบายการเงินจาก “คุมเข้ม” เป็น “ผ่อนคลาย” ในช่วงปลายปี 2566 

3. ดีมานด์ทองคำจีนฟื้นตัว จากแรงซื้อของธนาคารกลาง ส่วนแรงขายใน  SDPR เริ่มชะลอ   

4. ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรง ยังดำเนินต่อไป กระตุ้นกระแส  Dollarization

จับตา ‘ทองคำ’ พุ่งทะลุแนวต้าน  ลุ้นปีนี้แตะ 2,000 ดอลลาร์   

"จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี" นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า ราคาทอง ช่วงนี้ยังแกว่งตัวขึ้นลงระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยังเป็นลักษณะไซด์เวย์อัพ จากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว

อีกทั้งจะเห็นว่าในบางจังหวะที่ราคาทองคำปรับย่อตัวลงพักฐาน มักจะมีแรงเก็งกำไรเข้าสะสมทองคำช่วงสั้นๆ ทั้งธนาคารกลางขนาดใหญ่หลายประเทศ และนักลงทุนไทยที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว โดยหวังราคาทองคำหลังจากนี้ปรับตัวขึ้น

   

“การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมรอบแรกปลายเดือนนี้ เราคาดว่า เฟดจะขยับดอกเบี้ยเพียง 0.25% ช่วยหนุน “ราคาทองคำโลก” มีโอกาสเห็นการขยับขึ้นไปแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์  และราคาทองในประเทศ ยังยืนใกล้ระดับ 30,000 บาท เพราะยังมีปัจจัยเงินบาทแข็งค่าอยู่" 

"จิตติ" กล่าวว่า ระยะสั้นยังมีปัจจัยที่นักลงทุนต้องระมัดระวังในการลงทุนทองคำ เพราะปกติแล้วมักมีแรงซื้อเก็งกำไรทองคำเข้ามาสะสมเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนต่อเนื่องจากเทศกาลปีใหม่ และมักจะมีแรงขายทำกำไรออกมาหลังจากเทศกาลตรุษจีน

พร้อมกันนี้นักลงทุนยังต้องรอจับรอดูผลการประชุมดอกเบี้ยของเฟด ในช่วงปลายเดือน ม.ค.นี้ ให้ชัดเจนจะทำให้ราคาทองคำในระยะข้างหน้าชัดเจนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม บางจังหวะที่ราคาทองคำปรับตัวลงพักฐาน เป็นจุดที่นักลงทุนสามารถทยอยเข้าสะสมได้  โดยเบื้องต้นปีนี้ยังให้ราคาทองคำโลกเคลื่อนไหวไว้ในกรอบ 1,825-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์  (เงินบาทยังแข็งค่าระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ) 

"หากราคาทองคำย่อลงย่ำฐานที่แนวเบรก 1,825 ดอลลาร์ แล้วดีดขึ้น เป็นสัญญาณว่าราคาจะไปต่อ แต่ต้องระวังแรงขายทำกำไรเมื่อราคาเข้าใกล้ 1,900 ดอลลาร์”

ด้าน "ฐิภา นววัฒนทรัพย์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นเเนล จำกัด กล่าวว่า เรายังคงมุมมองราคาทองคำเชิง Bullish ในปี 2566 โดยมีโอกาสที่ทองคำดีดขึ้นชนแนวต้านแรกบริเวณ 1,916-1,879 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 30,150-30,700 บาท 

หากทะลุเป้าแรกจึงมีโอกาสทดสอบกรอบแนวต้านถัดไปซึ่งเป็น High ของปี 2565 และ All time high บริเวณ 2,069-2,075 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 33,000 บาท

แต่หากหลุดบริเวณ 1,616-1,614 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จะทำให้ทิศทางราคาในระยะยาวเปลี่ยนเป็นลบมากขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีโอกาสปรับฐานในรูปแบบที่ลึก และมีเป้าแนวรับถัดไปจะอยู่ในโซน 1,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ฐานของราคาทองคำในปี 2555) และ 1,488 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ หรือ 24,500-23,800 บาท ( ราคาทองคำในประเทศคำนวนเงินบาทที่ 33.85 บาท) 

"จากพัฒนาการด้านปัจจัยทางเทคนิคในระยะยาว บวกรวมกับปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นปัจจัยหนุนทองคำ ทำให้ทิศทางทองคำในปีนี้มีแนวโน้มสดใส"  

"ณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ" ประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือ MTS Gold แม่ทองสุก กล่าวว่า “ทองคำ” ยังเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ “โดดเด่น” ในปีนี้ หลังจากมีแรงซื้อทองคำของธนาคารกลางหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ  และหากปัจจัยเศรฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัวทำให้เฟดชะลอและหยุดขึ้นดอกเบี้ย ยังเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำโลกไปต่อได้

 แต่ในระยะสั้นอาจมีแรงเทขายช่วงหลังตรุษจีน เพราะปกติแล้วในช่วงก่อนตรุษจีนจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาหนุนราคาทองคำโลกขยับเพิ่มขึ้น ดังนั้นราคาทองคำโลกปีนี้น่าจะยังมีโอกาสขยับขึ้นเห็นที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ปัจจุบันยังให้ไว้ในกรอบปีนี้ไว้ที่  1,830-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์  

ส่วนราคาทองในประเทศ 29,000-29,900 บาท ยังไม่ปรับขึ้นตามจากเงินบาทแข็งค่ากดดันเพียงอย่างเดียว (มองกรอบเงินบาทปีนี้แข็งค่า 33-34.50บาทต่อดอลลาร์)