ถ้าคุณคิดว่าคุณรวย อ่านตรงนี้ | บัณฑิต นิจถาวร
มีแฟนคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต" ถามมาว่าภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้ที่ดูวุ่นวาย เราควรลงทุนอย่างไร เพราะความไม่แน่นอนมีมาก ไม่เฉพาะประเทศไทยแต่ในต่างประเทศด้วย อยากฟังความเห็นของผม
ผมเองไม่ใช่นักลงทุนที่เก่ง แต่ก็เป็นคําถามที่ท้าทายและหลายคนคงอยากรู้ว่าผมจะตอบอย่างไร โดยเฉพาะผู้ที่รวยมากๆ มีรายได้เข้ามาตลอด คงอยากรู้เหมือนกันว่าควรเอาเงินไปทำอะไรเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้เพิ่มมากขึ้น วันนี้จึงขอเขียนเรื่องนี้
การลงทุนกับเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก ปีนี้เศรษฐกิจทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับสูงขึ้นต่อเพื่อลดเงินเฟ้อ
การปรับขึ้นของดอกเบี้ยจะกระทบผลตอบแทนที่ได้จากการถือครองเงินสด กระทบราคาหุ้น ราคาพันธบัตร ซึ่งทั้งหมดคือสินทรัพย์ทางการเงิน
แต่นอกจากสินทรัพย์การเงิน เราก็มีสินทรัพย์ทางเลือกอื่นที่นักลงทุนที่มีเงินมากชอบลงทุน เช่น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนโดยตรงในธุรกิจ คือการเข้าซื้อ บริหารและเป็นเจ้าของธุรกิจ
ส่วนที่ดีคือผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทางเลือกจะไม่อิงกับความผันผวนในตลาดการเงิน แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ การเติบโตของธุรกิจ ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าตลาดมาก
ปีนี้ที่การลงทุนดูยาก ความไม่แน่นอนมีมาก และใช้เวลานานในการตัดสินใจ ก็เพราะหลายอย่างได้เปลี่ยนไปและปีนี้จะเป็นปีเริ่มต้นของหลายอย่างที่ไม่เหมือนเดิม
สำคัญสุดคือโลกเศรษฐกิจจากนี้ไปจะเป็นโลกเศรษฐกิจที่อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าที่ผ่านมา
แม้ธนาคารกลางสหรัฐต้องการเห็นอัตราเงินเฟ้อกลับมาที่ระดับเป้าหมายที่สองเปอร์เซนต์แต่คงยาก
ส่วนหนึ่งเพราะดิสรัปชันจากภูมิศาสตร์การเมืองและความไม่แน่นอนที่จะมีต่อเนื่อง ทําให้อัตราเงินเฟ้อจะลงยาก และอาจยืนระยะเฉลี่ยประมาณ 3-5 เปอร์เซนต์ต่อปีจากนี้ไป
ดังนั้น ถ้าอัตราดอกเบี้ยต้องสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนต่อการลงทุนแท้จริงที่เป็นบวก ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินก็จะต้องสูงกว่าที่ผ่านมามาก ผลักดันให้นักลงทุนต้องถือความเสี่ยงมากขึ้นโดยปริยาย คือเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทําให้การถือครองเงินสดให้ผลตอบแทนสูงกว่าเดิม ทําให้การลงทุนที่ใช้เงินกู้ (leverage) มีต้นทุนสูงขึ้น สภาพคล่องจะไม่พรั่งพรูเหมือนก่อน
ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนที่มากับภูมิศาสตร์การเมืองก็ทำให้นักลงทุนยิ่งต้องระวังเพราะมีโอกาสที่ตลาดการเงินจะผันผวนมาก
ทั้งหมดจะเปลี่ยนวิธีคิดในการลงทุนจากเดิมที่เน้นการเติบโตและ leverage เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำ มาเป็นการลงทุนที่เน้นปัจจัยพื้นฐาน การสร้างมูลค่า และให้ความสําคัญกับความสามารถในการบริหารจัดการ
ในบริบทเช่นนี้ ถ้าถามว่าการลงทุนปีนี้มีทางเลือกอะไรบ้าง ผมคิดว่ามีสามทางเลือกที่นักลงทุนอาจพิจารณาขึ้นอยู่ว่ากระเป๋าคุณหนักแค่ไหน
หนึ่ง สำหรับคนเงินน้อย เป็นเงินออมหรือเงินเกษียณเป็นหลัก การลงทุนในสินทรัพย์การเงินก็คงเป็นทางเลือกเดียว คําถามคือจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือเงินสด
คําตอบขึ้นอยู่กับทิศทางอัตราดอกเบี้ยจากนี้ไป ซึ่งปัจจุบันเป็นขาขึ้น และจากนั้นถ้าอัตราเงินเฟ้อปักหัวลงชัดเจน การปรับขึ้นของดอกเบี้ยคงชะลอและคงหยุดในที่สุด แต่ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้น ราคาพันธบัตรและราคาหุ้นคงไม่ขึ้นและอาจปรับลง
ดังนั้นในทิศทางตลาดดังกล่าว นำ้หนักการถือสินทรัพย์จะปรับจากการถือเงินสด ไปสู่พันธบัตรคุณภาพสูง และไปสู่หุ้นที่จะเป็นการเข้าซื้อหลังตลาดได้ปรับตัวต่อผลของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ที่ยากคือ timing หรือเงื่อนเวลาที่จะปรับย้ายพอร์ตระหว่างเงินสด พันธบัตรกับหุ้น ว่าควรทำเมื่อไรและในสัดส่วนเท่าไร ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
สอง ถ้าเงินลงทุนมีมาก และตลาดการเงินมีแนวโน้มที่จะผันผวนจากความไม่แน่นอนที่มีมากเช่นในปีนี้
การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ลงทุนโดยตรงในธุรกิจก็น่าสนใจเพราะผลตอบแทนจะเป็นอิสระคือไม่ถูกกระทบโดยความผันผวนในตลาดการเงิน
และถ้าสามารถเลือกสาขาธุรกิจที่จะลงทุนได้ถูกต้อง โอกาสที่จะเบ่งให้ได้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดก็สามารถทําได้
ซึ่งธุรกิจที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจที่สินค้ากําลังอยู่ในความต้องการของตลาดทั่วโลกเช่น อาหาร หรือ เทคโนโลยีอาหาร หรือธุรกิจที่มีพลังในการตั้งราคา คือสามารถปรับราคาสูงขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่กระทบอุปสงค์ของสิ่งที่ผลิต
หรือธุรกิจที่มีพื้นฐานดีและสามารถต่อยอดตามความต้องการและแรงสนับสนุนของผู้บริโภคได้เช่นเรื่อง ความยั่งยืน และภาวะโลกร้อน แต่ที่ทุกธุรกิจต้องมีเหมือนกันคือความสามารถในการบริหารจัดการ ที่จะสร้างความแตกต่างให้เกิดผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด
สาม อสังหาริมทรัพย์เป็นอีกสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ ถ้ามีเงินที่ต้องลงทุนมาก เพราะผลตอบแทนไม่อิงกับตลาดการเงินเช่นกัน ขณะที่ความต้องการพื้นฐานมีต่อเนื่อง ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัยและการเป็นทรัพย์สินสำหรับการออมระยะยาวที่คนชั้นกลางชอบและต้องการ
นอกจากนี้ยังเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างให้เกิดพลังในการตั้งราคา และผลตอบแทนที่แตกต่างและสูงกว่าตลาดก็สามารถทําให้เกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของการบริหาร ความทุ่มเท และความรักความชอบในสิ่งที่ทําโดยเจ้าของโครงการและทีมบริหาร
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นแม้ระดับเจ้าสัวของประเทศที่ชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นพิเศษ
นี่คือข้อคิดของผม เป็นความเห็นและคําตอบให้กับแฟนคอลัมน์ที่ถามมา ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์
คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
ดร. บัณฑิต นิจถาวร
ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล