กรอบเป้าหมาย "เงินเฟ้อ" ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง
ในปีที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นทั่วโลกเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายติดตาม เนื่องจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็น ภาคธุรกิจที่มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น กำลังซื้อของประชาชนที่ถูกทอนลง
ดังนั้น การดูแลอัตราเงินเฟ้อจึงมีความสำคัญ และเป็นเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
การดำเนินนโยบายการเงินผ่านการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย อยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) ที่ต้องดูแลอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป พร้อมกับเอื้อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืน และระบบการเงินมีเสถียรภาพ
ปัจจุบัน กนง. ได้กำหนดที่จะดูแลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในระยะปานกลางให้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1-3% อย่างไรก็ดี ล่าสุดข้อมูลอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2565 อยู่ที่ 6.08% ซึ่งสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายไม่น้อย
จึงมีคำถามว่า เพราะเหตุใดอัตราเงินเฟ้อไทยในปีที่ผ่านมาจึงอยู่ในระดับสูง? และสูงเกินกรอบเป้าหมายที่กำหนดจะเป็นเรื่องที่น่ากังวลหรือไม่? และจะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไร?
๐ เงินเฟ้อสูงเพราะอะไรและมีแนวโน้มเป็นอย่างไร?
อัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นในปี 2565 มาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นช่วงต้นปี 2565 มาจากการเกิดโรคระบาดในสุกรของไทย
ที่ทำให้ราคาเนื้อหมูปรับเพิ่มขึ้นถึง 27% ในเดือน ม.ค. 2565 และส่งผลให้ราคาเนื้อสัตว์อื่น ๆ รวมถึงราคาอาหารสำเร็จรูปปรับสูงขึ้นตามไปด้วย
ด้านปัจจัยต่างประเทศ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าในไทยปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งคิดเป็นกว่า 50% ของการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565
ในขณะเดียวกัน ราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นก็ยังส่งผลทางอ้อมต่อราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ผ่านการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2566 กนง. ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทยอยลดลง และน่าจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ภายในปี 2566
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2565 จากแรงกดดันด้านอุปทานต่าง ๆ ที่ทยอยคลี่คลาย
อย่างไรก็ดี คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะทรงตัวในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ก่อนจะทยอยปรับลดลง (รูปที่ 1) และมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจสูงนานกว่าที่ประเมินไว้
โดยเฉพาะจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าคาด นอกจากนี้ อุปสงค์ที่ฟื้นตัวดีอาจเอื้อให้ผู้ประกอบการส่งผ่านต้นทุนได้เร็วหรือมากขึ้น โดยเฉพาะในภาวะที่ต้นทุนของภาคธุรกิจยังอยู่ในระดับสูง
เมื่อมองไปข้างหน้า ยังมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อในระยะปานกลางเพิ่มขึ้นหรือลดลงด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green economy)
๐ เงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายน่ากังวลไหม? ต้องปรับเป้าหมายเงินเฟ้อหรือไม่?
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 จะสูงกว่ากรอบเป้าหมาย และประมาณการอัตราเงินเฟ้อในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะอยู่สูงกว่าขอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 3%
แต่ล่าสุด ครม. ได้มีมติอนุมัติการกำหนดกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินสำหรับปี 2566 และเป้าหมายระยะปานกลางไว้ที่ 1-3% เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เนื่องจาก
(1) อัตราเงินเฟ้อที่สูงมีแนวโน้มทยอยปรับลดลง ตามปัจจัยด้านอุปทานที่ทยอยคลี่คลายในปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลที่ธนาคารกลางในต่างประเทศส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ปรับเป้าหมาย แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 จะสูงกว่ากรอบเป้าหมาย (รูปที่ 2)
(2) กรอบเป้าหมายที่ 1-3% เป็นเป้าหมายในระยะปานกลาง อัตราเงินเฟ้อจึงสามารถเคลื่อนไหวออกจากกรอบนี้ได้บ้างชั่วคราว ตามปัจจัยด้านอุปทานที่ผันผวนในระยะสั้น
(3) การคงเป้าหมายท่ามกลางภาวะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสาธารณชนว่า “การดำเนินนโยบายการเงินจะมุ่งดูแลแนวโน้มเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม”
ซึ่งความเชื่อมั่นดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการกำหนดราคาสินค้าและค่าจ้างของผู้ประกอบการ รวมถึงการตัดสินใจซื้อสินค้าของประชาชน
๐ เงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยไหม?
อัตราเงินเฟ้อไทยที่สูงกว่ากรอบในปี 2565 เกิดจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ ทำให้ความจำเป็นของการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีน้อยกว่าในกรณีของต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกาที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่ร้อนแรงจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา กนง. ได้พิจารณาแล้วว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีความต่อเนื่อง ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 มีความจำเป็นน้อยลง จึงได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.5% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในประวัติการณ์มาอยู่ที่ 1.5% ในปัจจุบัน
ด้วยลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคำนึงถึงบริบทของเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเป็นสำคัญ ในระยะข้างหน้า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงตามปัจจัยด้านอุปทานที่ทยอยคลี่คลาย
กนง. ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินนโยบายการเงินที่ต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่างการดูแลอัตราเงินเฟ้อ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพระบบการเงิน
รวมถึงอาจจำเป็นต้องปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการเงินเปลี่ยนแปลงไป
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของ ธนาคารแห่งประเทศไทย
ทัศนะ แจงสี่เบี้ย
ณฐพร สัจวิทย์วิศาล
เศรษฐกรอาวุโส
สำนักเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย