ส่อง '7 ธีมเมกะเทรนด์' โอกาสเติบโตปี66 'หุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก'
นักลงทุนหลายคนอาจตั้งคำถามอยู่ "ธีมเมกะเทรนด์ ในปี 2565" ที่ผ่านมา ที่ปรับตัวลดลงนั้น แนวโน้มในอนาคตของธีมเหล่านี้จะเป็นอย่างไรต่อไปในระยะยาว ยังคว้าโอกาสลงทุนเมกะเทรนด์ปีกระต่ายทอง 2566 ต่อได้หรือไม่นั้น
ปี 2565 ตลาดหุ้นลงแรงแล้วธีมเมกะเทรนด์ไหนบ้างที่ปรับตัวลดลงมากหรือน้อยอย่างไร "ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ จะพาไปดูกัน
เขากล่าวว่า ในที่นี่จะขอพูดถึงธีมที่ลงทุนในอุตสาหกรรมเป็นหลัก สำหรับธีมรายประเทศจะรู้อยู่แล้วว่าลงทุนในหุ้นแทบทั้งตลาดจึงทำให้มีความผันผวนต่ำ จริงๆ ทุกธีมก็ปรับตัวลดลงหมดเลย
เนื่องจากในช่วงปี 2563-2564 ธีมส่วนใหญ่ได้มีการปรับตัวขึ้นกว่า 100% กันโดยเฉพาะธีมลิเธียมและแบตเตอรี และ ธีมพลังงานสะอาดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 300%
และในช่วงนั้นจนถึงปลายปี 2564 ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับการใช้นโยบายการเงินตึงตัวของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ทำให้นักลงทุนหลายคน เทขายเพื่อทำกำไร และเทขายอย่างต่อเนื่องในปี 2565 เป็นสาเหตุทำให้ราคาร่วงแรง
เราลองมาดูกันว่า ปีที่แล้วธีมเมกะเทรนด์ที่ปรับตัวลดลงน้อยกว่าเพื่อน มีอะไรบ้าง พบว่า 2 ธีมเมกะเทรนด์ ดังนี้
1.ธีมบริการสุขภาพ (Global Healthcare) เป็นธีมแรกที่ปรับตัวลดลงน้อย ผลตอบแทนทั้งปี 2565 ปรับตัวลดลงประมาณ -6% เท่านั้น ทั้งๆ ที่ ปีที่แล้วหุ้นในกลุ่มบริการสุขภาพจะทำผลงานได้ดีในช่วงตลาดหุ้นผันผวนและภาวะเงินเฟ้อสูง
เนื่องจากบริการสุขภาพ ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องใช้บริการไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดโควิด ที่ทำให้มีผู้ป่วยเข้ารักษาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง จนถึงปีนี้แม้หลายๆ ประเทศมีการผ่อนคลายแล้ว ก็ยังมีผู้เข้าใช้บริการไม่ขาดสาย
"Centers for Medicare and Medicaid Services " คาดว่าอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์สหรัฐ จะเติบโตจนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 6.2 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2571 ที่สำคัญคือศักยภาพของบริษัทเฮลท์แคร์สหรัฐ ที่เป็นผู้นำในการคิดค้นวิทยาการทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ได้ต่อเนื่องในอนาคต ถือเป็นปัจจัยหนุนหุ้นสุขภาพเติบโตได้ในระยะยาว
2.ธีมพลังงานสะอาด หรือ Clean Energy ก็เป็นธีมที่ปรับตัวลดลงราว -6% เช่นเดียวกับเฮลท์แคร์ ปีที่แล้วธีมพลังงานสะอาดได้ประโยชน์เต็มๆ จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งกระฉูด หลายๆ ประเทศเห็นความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก และยังมีรถยนต์ไฟฟ้าที่กลายเป็นกระแสสำคัญในปีที่แล้ว แม้แต่บนถนนประเทศไทยเองก็เริ่มเห็นจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นบ้างประปรายแล้ว นอกจากนี้ยังมีเรื่องข้อตกลง COP27 ที่หลายประเทศให้คำมั่นสัญญาในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ในอนาคต ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของโลก ทำให้ธีมพลังงานสะอาดเป็นธีมที่มีอนาคตเติบโตได้ระยะยาวๆ 10-20 ปี
ธีมที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 50% ในปีที่แล้ว มีทั้งหมด 5 ธีมเมกะเทรนด์ด้วยกัน ดังนี้
1.ธีมกัญชา คงจำกันก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า สหรัฐฯ มีการร่างกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาออกมาและได้รับการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในเดือนเมษายน และปัจจุบันก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการพิจารณาของวุฒิสภา ทำให้นักลงทุนเร่งเทขายทิ้ง
2.ธีมเมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นธีมกระแสหลักในปี 2564 แต่ปีที่แล้วราคาหุ้น Meta หรือเดิม เฟซบุ๊ก เกิดปรับตัวร่วงอย่างหนักถึง -60% เนื่องมาจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อโลกเมตาเวิร์สลดน้อยลง
3.ธีมเทคโนโลยีการเงิน หรือ ฟินเทค ที่ปี2565 เป็นเหมือนปีชง เพราะได้รับผลกระทบจากราคาของ Cryptocurrency ที่ลดลง ซึ่งเป็นปีที่มีข่าวร้ายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจอแรงเทขายปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
4.ธีมคลาวด์ ที่เคยฮอตฮิตในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด เพราะได้ประโยชน์จากการ Work From Home แต่เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นในหลายประเทศมีการผ่อนคลาย นักลงทุนบางกลุ่มจึงกังวลว่าการเติบโตของระบบคลาวด์จะไม่เหมือนเดิม จึงเทขายทำกำไรหุ้นคลาวด์ออกในปีที่แล้ว จึงได้รับผลกระทบร่วงแรงเช่นเดียวกัน
5.ธีมอีคอมเมิร์ซ ได้ปรับตัวลงแรงเช่นเดียวกับธีมคลาวด์ เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปสูงในช่วงวิกฤต โควิด Covid-19 ประกอบกับปีที่แล้ว กระแสหุ้นอีคอมเมิร์ซชื่อดังของจีนอย่าง Alibaba, Pinduoduo และ JD.com ถูกรัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมอย่างหนักและถูกปรับเป็นเงินก้อนใหญ่ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทิ้งกันจำนวนมาก
อ่านมาถึงตรงนี้กันแล้ว จะเห็นว่า ปี 2565 ธีมส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงกันถ้วนหน้า มีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก อีกอย่างผลตอบแทนรายปีเป็นเพียงผลตอบแทนระยะสั้น ไม่สามารถฉายภาพการลงทุนระยะยาวได้อย่างชัดเจน
สำหรับปี 2566 "ตราวุทธิ์" ยังมองว่าเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ลงทุนธีมเมกะเทรนด์พื้นฐานดี ในราคาที่ต่ำลงในปีที่ผ่านมา เพราะหากพิจารณาจากผลประกอบการแล้ว จะเห็นว่ารายได้ของบริษัทในแต่ละธีมยังเติบโตแข็งแกร่ง และโดยปกติ หากบริษัทยังมีรายได้เพิ่ม แต่ละบริษัทมีแนวโน้มจะพลิกทำกำไร ย่อมจะต้องส่งผลดีต่อหุ้นด้วยแน่นอน
และนั่นก็จะเข้าข่าย ‘หุ้นดีราคาถูก’ ที่เราควรคว้าเอาไว้เพื่อรอรับผลตอบแทนระยะยาว แบบนี้แล้ว จะมีฤกษ์ไหนให้ลงทุนได้เหมาะสมเท่านี้อีกละ ถึงเวลา ‘เลิกรอ’ ได้แล้ว จริงไหม