‘แอลจีที กรุ๊ป’ มองบวกเศรษฐกิจไทย เชื่ออีก 2 ปีเอเชียโตแซงยุโรป

‘แอลจีที กรุ๊ป’ มองบวกเศรษฐกิจไทย เชื่ออีก 2 ปีเอเชียโตแซงยุโรป

เจ้าชายแมกซ์ ฟอน อุนด์ ซู ลิกเตนสไตน์ ประธานกรรมการ แอลจีที กรุ๊ป มองบวกต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางสหรัฐ และยุโรปที่เผชิญภาวะอัตราเงินเฟ้อสูง ชี้อีก 2 ปีภาพรวมธุรกิจในเอเชียโตแซงหน้ายุโรปแน่นอน

เจ้าชายแมกซ์ ฟอน อุนด์ ซู ลิกเตนสไตน์ ประธานกรรมการ แอลจีที กรุ๊ป ธุรกิจธนบดีธนกิจ และบริหารจัดการสินทรัพย์ต่างประเทศชั้นนำตรัสวันนี้ (2 ก.พ.) ว่า ประมาณ 20 ปีที่แล้ว ตัดสินใจอย่างระมัดระวังในการขยายบริษัทเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย โดยเลือกเขตปกครองพิเศษฮ่องกง และประเทศสิงคโปร์ เป็นสองประเทศแรก แต่หลังจากเห็นศักยภาพการเติบโตของประเทศไทยจึงตัดสินใจขยายธุรกิจเข้ามาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และแม้ว่าในขณะนี้สถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐ และยุโรปที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเชียยังเติบโตได้ดี

“ปีนี้ตลาดในเอเชียเริ่มต้นมาค่อนข้างดี และหวังว่าจะเป็นตัวชี้วัดว่าทั้งปีนี้ก็จะดีเช่นเดียวกัน ท่ามกลางสหรัฐ และยุโรปที่เผชิญอัตราเงินเฟ้อสูง มองว่าอาจจะสูงแบบนี้ไปอีกนาน เว้นแต่ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้น (Recession)" 

อย่างไรก็ตามตลาดเอเชีย โดยเฉพาะยิ่งประเทศไทยยังโตได้ค่อนข้างดี เนื่องจากประเทศไทยมีภาคแรงงานยังเติบโตได้ดี เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง การขยายตัวของชนชั้นกลาง (Middle Class) และภาคการบริโภคที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดในภูมิภาคนี้อย่างมาก

ทั้งนี้ เจ้าชาย ทรงเน้นย้ำว่า หากภาคธุรกิจในเอเชียยังคงรักษาอัตราการเติบโตแบบเดิมหรือเพิ่มขึ้นเหมือนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดภาคธุรกิจในเอเชียจะเติบโตกว่าตลาดยุโรปในอีก 2 ปีแน่นอน

อนึ่ง นอกจากสาเหตุเรื่องนโยบายของบริษัทสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้มีธนาคารเพื่อการลงทุนในต่างประเทศในไทยแล้ว แอลจีที และประเทศไทยยังมีความคล้ายกันตรงที่ประเทศไทยอยู่ในสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) จึงมีความต้องการส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลานสูง ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจและความชำนาญของแอลจีทีที่เป็น 'Family-Owned Bank' เช่นเดียวกัน

เจ้าชายแมกซ์ ฟอน อุนด์ ซู ลิกเตนสไตน์ เจ้าชายแมกซ์ ฟอน อุนด์ ซู ลิกเตนสไตน์

 

“แอลจีที มีความสนใจประเทศไทยมาก เป็นประเทศที่ 3 รองจากฮ่องกง และสิงคโปร์ จากนั้นจึงเป็นญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย ซึ่งภูมิภาคเอเชียนับเป็นภูมิภาคที่มี ‘การเติบโตที่แข็งแรงมากที่สุด’ ในบรรดากลุ่มธุรกิจของแอลจีที”

เมื่อถามถึงพันธกิจเกี่ยวกับแนวคิดการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG เจ้าชายทรงตอบพระราชปุจฉาว่า ธนาคารที่ให้บริการสำหรับลูกค้าที่มีสินทรัพย์สูง หรือ Private Bank มีความสำคัญอย่างมากในฐานะเครื่องมือจัดสรรเงินทุนของลูกค้า และสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตผ่านการบริหารเงินสด และสินทรัพย์ อย่างไรก็ตามการบริหารดังกล่าวก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบ

“สำหรับ LGT ให้คำมั่นสัญญาว่าการจัดสรรเงินทุนของเราไม่เพียงแต่คำนึงถึงเรื่องทางการเงินเท่านั้น ทว่ายังพิจารณาถึงผลกระทบสังคมและสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย ซึ่งสื่อมวลชนก็มีความสำคัญในแง่การเปิดโปงข้อมูลให้ประชาชนทราบว่าบริษัทใดพยายามฟอกเขียว (Green Washing) ในขณะเดียวกันก็ต้องชมเชยบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงด้วยเช่นกัน”

ด้าน นายเอกภพ เมฆกัลป์จาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์แอลจีที (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตามนโยบายของบริษัท จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดหรือตัวเลขของสินทรัพย์ที่บริษัท ดูแลอยู่เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ทว่าในภาพรวมแอลจีทีบริหารพอร์ตการลงทุนในภูมิภาคเอเชียเป็นมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท และในส่วนของประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ที่กำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 50 ล้านบาท

ายเอกภพ เมฆกัลป์จาย นายเอกภพ เมฆกัลป์จาย

 

นายเอกภพ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินงานในอนาคตว่า ในระยะยาวมีแผนในการนำเทคโนโลยี (Digitalisation) เข้ามาช่วยในการบริหารงานมากขึ้น รวมทั้งสร้างทีมงาน ทีมผู้บริหาร และพัฒนาระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (Relationship Management System) ให้สอดคล้อง และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุดในทุกประเทศ ส่วนในระยะสั้นจะเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพการให้บริการรวมทั้งแนวคิดด้านการลงทุน “บริษัท อาจให้คำตอบเรื่องแผนในระยะสั้นไม่ได้มาก เพราะแอลจีทีเรามีค่านิยมในการบริหารสินทรัพย์ของลูกค้าในระยะยาวอย่างมีความมั่นคง”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์