บลจ. เปิดศึกแข่งทุกช่องทาง หวังชิงขยายฐานลูกค้า ดัน AUM โตแรง
“บลจ.ไทยพาณิชย์” มุ่งสู่องคก์กรดิจิทัลขยายฐานลูกค้าใหม่ทุกช่องทาง ปีนี้เพิ่มขึ้นอีกแสนรายจาก 6 แสนรายและหวังอีก 2 ปีแตะ 1 ล้านราย ยันลูกค้าไม่แพนิกหุ้นกู้"เอทีวัน" “บลจ.เอ็กซ์สปริง” รุกแนะนำการลงทุน ดันAUMโตทะลุหมื่นล้าน ประสานเสียงหุ้นไทยหลังเลือกตั้งอัพไซด์ 10%
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าอีก10 ปีข้างหน้า(ปี 2576) มุ่งสู่องค์กรดิจิทัลยุคใหม่ทุกมิติ เดินหน้าเป็นหนึ่งด้านการบริหารจัดการกองทุนระดับภูมิภาคเติบโตยั่งยืน
โดยมุ่งต่อยอดการใช้ AI & Machine Learning มาพัฒนาผลิตภัณฑ์และจัดการบริหารจัดการกองทุนและใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างประสบการณ์ที่ดีด้านการลงทุนและการบริการให้ลูกค้า เพื่อต่อ ยอดทางธุรกิจและรอบรับการเติบโต รวมถึงเชื่อมต่อกับพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆได้อย่างคล่องตัวมากขึ้นในอนาคต
สำหรับในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ภายใต้การบริหารจัดการ เติบโต 3-5% จากปีก่อนที่ 1.61 ล้านล้านบาท เน้นขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 100,000 ราย เป็น 700,000 รายในสิ้นปีนี้ และจะแตะ 1 ล้านรายในอีก 2 ปีข้างหน้า
โดยวางกลยุทธ์ขายกองทุนผ่านแอปพลิเคชัน SCBAM Fund Clickและขยายช่องทางตัวแทน โดยเฉพาะตัวแทนอิสระที่เติบโตเร็วรวมถึงขยายพันธมิตรช่องทางจำหน่ายอื่นๆ นอกจากแบงก์แม่ พร้อมกับพัฒนานวัตกรรมกองทุนใหม่ๆ เช่น กองทุนไพรเวทฟันด์ กองทุนเฮดฟันด์ เพิ่มชนิดหน่วยลงทุน e-class และ SSF e-class และขยายกองทุน Index Fund ให้ครอบคลุมภูมิภาคอื่นๆ
“ภาวะตลาดในปีนี้เอื้อต่อการลงทุนตลาดตราสารหนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นน่าจะเห็นผลตอบแทนที่ดี เมื่อปัญหาต่างๆคลี่คลายและเงินเฟ้อและดอกเบี้ยถึงจุดสูงในไตรมาส 3 รวมถึงหลังเลือกตั้งออกมาดีและมี นโยบายเศรษฐกิจหนุน ยังคงมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ 1,760 จุด หรือ 6 เดือนข้างหน้ามีอัพไซด์เพิ่ม 6-10%”
นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. เอ็กซ์สปริง เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM)ปีนี้มั่นใจว่ามีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 10% จากช่วงปีที่ผ่าน แตะที่ระดับ 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 2565 ที่เติบโตอยู่ที่ 9.3 พันล้านบาท
พร้อมตั้งเป้าหมายสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำลงทุน (AUA)ปีนี้เติบโตแตะที่ระดับ 3-4 พันล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 300 ล้านบาท สาเหตุที่ AUA อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากพึ่งเริ่มธุรกรรมดังกล่าวเมื่อช่วงเดือน ส.ค.2565 ที่ผ่านมา โดยปีนี้บริษัทรุกตลาดการนะนำการลงทุนมากขึ้น
สำหรับการเติบโต AUM ปีนี้ จากการการรุกตลาดส่วนบุคลประเภทสหกรณ์ต่างๆมากขึ้น ที่ผ่านมาบริษัทได้มีโอกาสเข้าไปบริหารเงินให้กับมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์วงเงินรวมประมาณ 2พันล้านบาท และในปีนี้บริษัทมีโอกาสปิดดีลเพิ่มจากจุฬาฯเพิ่มเติมเช่นกัน คาดว่าอยู่ในวงเงินที่ 5พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนออกกองทุนรวมใหม่ๆเพิ่มเติมอีก 3 กองทุน เน้นลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด ตราสารหนี้คุณภาพดี เป็นต้น รวมถึงการเพิ่มผู้เชี่ยวชาญแนะนำการลงทุนอีก 40คน จากเดิมมีอยู่ประมาณ 16 คน พร้อมเพิ่มผู้แนะนำลงทุนอิสระจาก 10 รายในปัจจุบันเป็น 50 คน รวมถึงการเพิ่มพันธมิตรบลจ..เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มข่องทางการลงทุนให้กับนักลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น
นายยศกร กล่าวว่า สำหรับทิศทางการลงทุน เรายังชอบตลาดหุ้นไทยกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกทั้งนักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อเสรษฐกิจไทยให้กับมาฟื้นตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการประกาศเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 พ.ค.2566 ทำให้ตลาดหุ้นไทยขานรับกับประเด็นดังกล่าวค่อนข้างมาก เชื่อว่า หลังจากจบการเลือกตั้งและไม่มีประเด็นอะไรเข้ามากระทบผลเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทย ช่วง 3-6 เดือนหลังเลือกตั้งจะแกว่งตัวขึ้นมีอัพไซด์ประมาณ 10% มองกรอบดัชนีระยะสั้นไว้ที่ 1,520-1,580 จุด และสิ้นปีนี้ที่ 1,730 จุด
และมั่นใจว่า หลังจบเลือกตั้งและนิ่ง มีโอกาสที่เงินลงทุนจากต่างประเทศ(ฟันด์โฟลว์)ไหลกลับเข้ามายัง "ตลาดหุ้นไทย" เพิ่มขึ้นมากกว่าไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ ดังนั้น ช่วงนี้นักลงทุนสามารถทยอยลงทุนให้หุ้นที่มีคุณภา กลุ่มหุ้นเด่นรับอานิสงค์การกลับมาของนักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้น เน้นหุ้นกลุ่มสายการบิน โรงแรม โรงพยาบาล บริโภค ส่วนหุ้นไทยที่เหมาะลงทุนรับเลือกตั้ง ได้แก่ หุ้นกลุ่มสื่อสาร ก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม ธนาคารพาณิชย์