‘ชโยทิต’รวมใจสร้างชาติ เข็นโครงสร้างพื้นฐาน-BCG ดันรายได้เข้าไทย4ล้านล.
“ชโยทิต”พรรครวมใจสร้างชาติ หนุนเข็นโครงสร้างพื้นฐานการลงทุน พร้อมผลักดดันนโยบาย BCG หวังปูทางสร้างรายได้เข้าไทย4ล้านล้านใน3ปี พร้อมเสนอปัดฝุ่นกองทุนLTF เปิดโอกาสช่วยเอสเอ็มอีระดมทุน เป็นทางเลือกให้ประชาชนเข้าลงทุน
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวในงานสัมมนา “ นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุน”ภายใต้ รัฐบาลหลังเลือกตั้ง ที่จัดขึ้น โดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) กล่าวว่า สำหรับนโยบายของพรรค สิ่งที่ทำอยู่แล้ว และผลักดันต่อเนื่องคือ การสนับสนุนการสร้างรายได้4ล้านล้านบาทให้ประเทศไทยใน2-3ปีข้างหน้า ทั้งการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างอุตสาหกรรม ให้เท่าทันประเทศในภูมิภาค เพื่อรองรับการเป็นฮับในอาเซียน และรองรับการเข้ามาลงทุนใหม่ๆที่จะเข้ามาอีกใน1-2ปีข้างหน้า
โดยเฉพาะ การสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางคาร์บอนในปี 2550 โดยการหันไปสนับสนุนด้านพลังงานสะอาด ไปสู่ EV มากขึ้น รวมไปถึง การสนับสนุนให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวไทยในระยะยาว และสนับสนุนไทยให้เป็นศูนย์กลางการกินอยู่ของต่างชาติในระยะข้างหน้า
และสิ่งที่สำคัญ คือการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง Digital development ในภูมิภาค รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบาย BCG โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่จะเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดการต่อเนื่อง เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดการสร้างงาน รีสกีลคนในประเทศมากกว่า 1ล้านคน และช่วยลดคาร์บอนลง 30%ในปี 2530 ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่หนุนจีดีพีให้เติบโตมากกว่า 20%ใน2-3ปีข้างหน้า
ในด้านการผลักดันการพัฒนาตลาดทุนไทย ปัจจุบันมองว่า สิ่งที่ต้องทำให้เกิดต่อเนื่อง คือ กลไกในการช่วยให้นักลงทุนมีโปรดักต์ใหม่ในการลงทุนมากขึ้น หรือเครื่องมือในการช่วยให้เอสเอ็มอี สามารถเข้ามาระดมทุนผ่านตลาดทุนไทยได้มากขึ้น
รวมถึง การปันฝุ่นกองทุน LTF ที่จะเป็นเครื่องมือ ที่จะช่วยเอสเอ็มอี ใช้เป็นแหล่งเงินทุนได้ และเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเข้ามาลงทุน ผ่านกองทุน เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น บนทางเลือกในการออมเงินมากขึ้น มากกว่าฝากเงินในระบบแบงก์
รวมถึงการผลักดันตลาดหลักทรัพย์ไทยให้เข้าสู่โลกสมัยใหม่มากขึ้น ภายใต้ Digital asset exchange หรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสร้างความโปร่งใส่ ตรวจสอบได้ ผ่านระบบบล็อกเชน และสามารถใช้ต่อยอดไปสู่ส่วนอื่นๆได้ อีกทั้งยังเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุน สามารถเข้ามาลงทุนได้ง่ายมากขึ้น
สุดท้ายคือการผลักดันเรื่อง BCG ที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดธุรกิจใหม่ๆอีกมากในระยะข้างหน้า และจะเป็นระบบนิเวศน์ใหม่ ที่จะสนับสนุนให้เกิดการเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆได้มากขึ้น