'เรย์ ดาลิโอ' เตือนนักลงทุนส่อสูญเงินหนัก จากภาวะ 'ดอกเบี้ยขาขึ้น'

'เรย์ ดาลิโอ' เตือนนักลงทุนส่อสูญเงินหนัก จากภาวะ 'ดอกเบี้ยขาขึ้น'

“เรย์ ดาลิโอ” นักลงทุนชื่อดังเตือน เงินนักลงทุนอาจสูญมูลค่าหนักขึ้นเรื่อยๆ เหตุ "เฟด" รักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง พร้อมประเมินนักลงทุนอาจเทขายบอนด์แบบขาดทุน คล้ายกรณี SVB จนเกิด "ความไม่สมดุลร้ายแรง" ในภาคการเงิน

สำนักข่าวอินไซเดอร์ ดอทคอม (Insider.com) รายงานถ้อยแถลงของเรย์ ดาลิโอ ผู้ร่วมก่อตั้งบริดจ์วอเตอร์ (Bridgewater) บริษัทจัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วันที่ 31 มี.ค.2566 ว่า ปัจจุบันมูลค่าของสินทรัพย์ที่ได้มาจากเงินกู้ยืม (Borrowed Funds) กำลังปรับตัวลดลง รวมทั้งการล่มสลายของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank) หรือ SVB ธนาคารที่เน้นปล่อยกู้ให้กลุ่มบริษัทเทคโนโลยี ก็นับเป็นตัวชี้วัดถึงปัญหาที่ทั้งโลกกำลังเผชิญ

ทั้งนี้ ดาลิโอ อธิบายผ่านวิดีโอซึ่งเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ส่วนตัวว่า ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงสินเชื่อและนำไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นได้ หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในเกณฑ์ต่ำ 

ในทางกลับกัน หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างร้อนแรง การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ก็จะสูญเสียมูลค่าลงไปจนกระทั่งได้นักลงทุนได้ผลตอบแทนกลับมาน้อยลงตามไปด้วย

“เมื่อสถานการณ์นั้นเกิดขึ้น ทุกคนจะสูญเงินลงทุน ซึ่งก็จะกระทบกับภาคส่วนอื่นต่อไปเป็นทอดๆ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลกด้วย” ดาลิโอ กล่าว

เหตุการณ์ข้างต้นส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการสร้างสมดุล (A Difficult Balancing Act) ระหว่างความต้องการให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นจนกระทั่งสามารถให้ผลตอบแทนหลังจากหักลบกับอัตราเงินเฟ้อแล้ว กับการพยายามไม่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงมากจนกระทบการใช้ชีวิตของประชาชน

ดาลิโอ กล่าวเสริมว่า ตลาดจะเริ่มเห็นการกลับมากู้สินเชื่อมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่จะถึงนี้ เพราะเฟดต้องรับมือกับการขาดดุลงบประมาณจํานวนมหาศาล (Massive Budget Deficits) โดยรัฐบาลจำเป็นต้องกู้ยืมเงินผ่านการขายตราสารหนี้ (Selling Debt) เช่น ตั๋วเงินคลัง เพื่อแก้ไขสภาวะขาดดุล ซึ่งหากจะทำเช่นนั้นได้ นักลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวก็ต้องได้รับผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ

“ถ้านักลงทุนไม่ได้รับผลตอบแทนที่มากเพียงพอ พวกเขาสามารถขายพันธบัตร หรือหุ้นกู้อื่นๆ ที่ถืออยู่ได้ แทนการเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวใหม่ ซึ่งนั่นส่งผลให้เกิด "ความไม่สมดุล" ที่ร้ายแรงอย่างมาก”

อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นถ่วงน้ำหนักกับการถือครองพันธบัตร ซึ่งสร้างปัญหาเมื่อต้องประเมินมูลค่าหรือขายในอัตราตลาดแทนที่จะถือจนครบกําหนด 

ประเด็นที่กล่าวมา เป็นสถานการณ์เดียวกับที่เกิดขึ้นกับ SVB ซึ่งขาดทุน 1.8 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.94 หมื่นล้านบาท) จากการขายพันธบัตรในพอร์ตการลงทุน ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และมาตรการทางการเงินแบบตึงตัว

“ถ้าคุณปรับมูลค่าของหลักทรัพย์ตามราคาตลาดล่าสุด หุ้นจำนวนมากจะประสบปัญหาทางการเงิน” ดาลิโอกล่าวปิดท้าย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์