รู้จักวิธีวัดประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุน
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกๆท่าน หากเรามีกองทุนรวมหรือพอร์ตการลงทุนที่มีนโยบายเหมือนกันให้เลือกหลายกองด้วยกัน เราควรใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณา
มีตัววัดประสิทธิภาพและอัตราส่วนประสิทธิภาพ (Performance Ratio) ที่สำคัญหลายตัวที่ใช้กันทั่วไปในการวัดประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ อัตราส่วนเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลตอบแทนโดยรวมและความเสี่ยงของพอร์ต
ตลอดจนวิธีการเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับมาตรวัดและอัตราส่วนที่สำคัญทั้งที่เป็นที่ใช้กันอยู่แล้วเป็นการทั่วไปและอัตราส่วนแบบใหม่บางตัวที่บอกข้อมูลบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเราในการนำมาพิจารณา
ผลตอบแทน (Return) ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าใครๆก็คงอยากได้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดในหมวดหรือนโยบายเดียวกัน ความเสี่ยง ซึ่งส่วนใหญ่วัดด้วยค่า standard deviation หรือ Maximum Drawdown ซึ่งนักลงทุนก็คงอยากให้กองทุนหรือพอร์ตของตัวเองมีความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด
ปัญหามันอยู่ที่ตรงนี้ครับว่า เมื่อมีตัววัดที่เราต้องใช้อยู่ 2 ตัวแต่ถ้าตัวเลขทั้ง 2 มันไม่ชี้ชัดว่าใครดีกว่าใคร เช่น กองทุน A มีผลตอบแทน 10% แต่มี SD = 20% กองทุน B มีผลตอบแทน 15% แต่มี SD = 30% ซึ่งถ้าเลือกโดยใช้ผลตอบแทนเราควรต้องเลือกกองทุน A แต่ถ้าเลือกด้วยความเสี่ยงเราก็เลือก กองทุน B
ดังนั้นจึงมีการสร้างตัววัดผลที่นำเอาทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงเข้ามาคำนวณเพื่อให้สามารถฟันธงว่าใครมีผลการดำเนินงานดีกว่าใคร โดยอัตราส่วนหลักๆที่นิยมใช้กันก็คือ
1. Sharpe Ratio: Sharpe Ratio วัดผลตอบแทนที่ปรับความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ(เทียบกับอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง คำนวณโดยการลบอัตราปลอดความเสี่ยงออกจากผลตอบแทนของพอร์ต) แล้วหารผลลัพธ์ด้วยความผันผวนของพอร์ต (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน SD) ซึ่งถ้ากองทุนไหนมีอัตราส่วนนี้สูงกว่าก็มีประสิทธิภาพเหนือกว่า
2. Information Ratio: ต่างจาก Sharpe Ratio ตรงที่วัดผลตอบแทนส่วนเกินของพอร์ตโฟลิโอเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) แล้วปรับตามจำนวนความเสี่ยงที่ได้รับ โดยความเสี่ยงนี้ไม่ได้วัดด้วย sd ของพอร์ตเหมือน Sharpe
แต่ตะวัดความเสี่ยงที่กองทุนเบ้หรือเพี้ยนไปจาก benchmark คำนวณโดยการลบผลตอบแทนมาตรฐานออกจากผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอ แล้วหารผลลัพธ์ด้วยข้อผิดพลาดในการติดตามของพอร์ตโฟลิโอ (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(SD) ของความแตกต่างระหว่างพอร์ตโฟลิโอและผลตอบแทนอ้างอิง)
3. Sortino Ratio: อัตราส่วน Sortino คล้ายกับ Sharpe Ratio แต่แทนที่จะใช้ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน จะใช้ส่วนเบี่ยงเบนด้านลบ ซึ่งพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนที่เป็นลบ (Semi-Variance)
สำหรับนักลงทุนบางคนที่ไม่ชอบเห็นพอร์ตหรือกองทุนของตัวเองร่วงจากจุดที่เคยขึ้นไป (Drawdown) มากๆหรือบ่อยๆ เราลองมาดูตัววัดใหม่ 2 ตัวนี้ดู
4. Ulcer Index และ Serenity Ratio เป็นสองมาตรวัดประสิทธิภาพที่รู้จักกันน้อยแต่มีประโยชน์ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงขาลงและความมั่นคงของผลตอบแทน
Ulcer Index วัดความเสี่ยงขาลงของพอร์ตการลงทุน โดยคำนึงถึงความลึกและระยะเวลาของการขาดทุน พัฒนาโดย Martin และ McCann ในปี 1989) เพื่อเป็นตัวชี้วัดความผันผวนจากความเสี่ยงขาลง คำนวณด้วยค่าเฉลี่ยกำลังสองของการลดลง(drawdown)
เราอาจมองว่า Ulcer Indexเป็นตัววัดความเจ็บปวดที่นักลงทุนอาจรู้สึกเมื่อพอร์ตประสบปัญหาขาดทุน (จากจุดที่เคยขึ้นไป)และสามารถใช้เปรียบเทียบความเสี่ยงขาลงของพอร์ตต่างๆ ได้
ในทางกลับกัน Serenity Ratio เป็นตัววัดศักยภาพขาขึ้นของพอร์ตโฟลิโอเมื่อเทียบกับความเสี่ยงขาลง คำนวณโดยการหารผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของพอร์ตโฟลิโอด้วย Ulcer Index ตัววัดนี้ห้ข้อมูลเชิงลึกว่าพอร์ตโฟลิโอสามารถให้ผลตอบแทนได้ดีเพียงใดในขณะที่ยังจัดการความเสี่ยงขาลง และสามารถใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงของพอร์ตต่างๆ ได้
โดยรวมแล้ว อัตราส่วนเหล่านี้ให้มุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ และควรใช้ร่วมกันเพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมว่ากองทุนหรือพอร์ตมีผลการดำเนินงานดีเพียงใด
ท้ายสุดนี้ผมก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดีและประสบผลสำเร็จจากการลงทุนครับ